วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

(อย่า)สับสนทางพระ !!!!

ในสภาวการณ์ที่สังคมโลกมีการรับรองสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์อย่างกว้างขวาง ซึ่งหมายรวมถึง มีการยอมรับใน “อัตลักษณ์” หรือ ลักษณะเฉพาะของปัจเจกบุคคลมากขึ้น โดยเมื่อมองในภาพรวมแล้ว ก็ย่อมนับได้ว่า นี่คือนิมิตหมายอันดี ในอันที่จะสร้างสรรโลกแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมกันบนความแตกต่างอันเป็นลักษณะเฉพาะของปัจเจกบุคคล แต่กระนั้น ก็ขอตั้งข้อสังเกตเอาใว้ด้วยว่า ในขณะที่กลุ่มบุคคลที่ประกาศตนเองว่าเป็นพวก “รักร่วมเพศ” กำลังเพียรพยายามที่จะเรียกร้องให้สังคมยอมรับในสิทธิความเท่าเทียมกันระหว่างพวกเขาและเพศชายหญิงนั้น แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ส่วนที่2 ว่าด้วยความเสมอภาค มาตรา30 จะกล่าวเอาใว้อย่างชัดเจนว่า .....

(1)บุคคลย่อมเสมอกันในกฏหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฏหมายเท่าเทียมกัน
(2)ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
(3)การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกาย หรือ สุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือ ความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้ฯ

หมายความว่า บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รับรอง ความเท่าเทียมกันจำเพาะก็แต่ในเพศชายและเพศหญิง การห้ามมิให้เลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ ก็ย่อมหมายถึงเพศชายและหญิงเท่านั้น มิได้มีส่วนใดเลยที่กล่าวรับรอง “อัตลักษณ์” ของพวกรักร่วมเพศ ดังนั้นจึงน่าแปลกใจเป็นอย่างมาก ที่กลุ่มคนเหล่านี้มีความพยายามที่จะเรียกร้องทวงถามถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกันต่อสังคมในประเด็นต่างๆที่หลากหลายจนนับไม่ถ้วน เช่น เรียกร้อง ส้วมตุ๊ด , หอ(พัก)ตุ๊ด ฯลฯ สิ่งที่น่ากังขาก็คือ เพศกระเทย หรือเพศตุ๊ด นั้นมิได้มีการรับรองเอาใว้ในรัฐธรรมนูญ แล้วจะมา(แอบ)อ้างสิทธิความเสมอภาคหรือความเท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ ในฐานะที่เป็นกระเทย ได้อย่างไร ?

แต่ถ้าจะยอมรับตามความจริงว่า พวกเขากำลังเรียกร้องสิทธิความเสมอภาค ในฐานะเพศชายและหญิง ซึ่งมีความผิดปกติคือมีความเบี่ยงเบนทางเพศ อย่างนี้ก็ไม่อาจว่ากันได้อยู่แล้ว เพราะบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ก็ระบุเอาใว้อย่างชัดเจนว่า การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่อง “เพศ” และ “สุขภาพ” เป็นสิ่งที่กระทำมิได้ ในกรณีอย่างนี้ ก็เชิญเรียกร้องเอาตามสะดวก

แต่มีอยู่กรณีหนึ่ง ที่พวกรักร่วมเพศ ไม่อาจที่จะเรียกร้องใดๆได้เลยก็คือ กรณีพระตุ๊ดเณรแต๋ว เพราะเรื่องนี้ เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระศาสนา ซึ่งมีพระวินัยบังคับใช้อยู่เป็นการเฉพาะ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิกขาบทเหล่านั้นได้ ในฐานะที่บ้านเมืองของเรายอมรับนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งยึดถือเอามติของพระอรหันตเถระผู้สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก ที่ไม่ยอมให้มีการแก้ไขพระธรรมวินัยอันเป็นพุทธพจน์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนาเอาใว้นั่นเอง

เกี่ยวกับกรณีพระตุ๊ดเณรแต๋วนั้น พระวินัยปิฎกเล่ม4 มหาวรรค ภาค1มีพุทธพจน์ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย” แปลไทยเป็นไทยอีกทีได้ความว่า ห้ามพระภิกษุ บวชให้กับพวกกระเทย แต่ถ้าบวชไปแล้ว ก็ให้จับสึกออกไปเสีย ดังนั้น การที่กระเทยบางคน ได้กล่าวว่า “ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ควรดำเนินตามกรอบที่พระวินัยบัญญัติไว้กับผู้ที่กระทำความผิด ไม่ควรเหมารวมทั้งหมด และควรฝึกอบรมให้กับพระ สามเณรเกย์ กะเทย ที่มีพฤติกรรมอยู่ในข่ายที่พอจะอบรมสั่งสอนได้ เพื่อให้มีพฤติกรรมเป็นกุลเกย์ มีความสำรวมเหมาะสมตามหลักพระวินัย” จึงเป็นคำพูดที่เหลวไหลเลอะเทอะโดยสิ้นเชิง !!!!

ถ้าอ้างว่าควรแก้ปัญหาเรื่องนี้ตามกรอบของพระธรรมวินัย ก็หมายความว่า มีทางออกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น สำหรับกรณี “พระตุ๊ด” นั่นก็คือ จับสึก ตรงนี้พระวินัยระบุเอาใว้อย่างชัดเจนเป็นอย่างมากว่า เมื่อเจอพระตุ๊ด ก็ให้จับสึกไปได้ทันที ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นคนนิสัยดีหรือเลวก็ตาม(เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็น) แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ ถ้าเป็นกระเทยแล้วเข้ามาบวช ถือว่าเป็นความผิดแล้ว และต้องจับสึกออกไปเท่านั้น ไม่มีบทลงโทษเป็นอย่างอื่น โดยคำว่า “บัณเฑาะก์” หรือ “กระเทย” นั้นแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ

1) อาสิตตบัณเฑาะก์ ได้แก่ พวกกระเทย ที่เมื่อเอาปากอมองคชาต(อวัยวะเพศ)ของชายเหล่าอื่น เมื่อถูกน้ำอสุจิรดเอาแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป
2) อุสุยยบัณเฑาะก์ ได้แก่ พวกกระเทย ที่เมื่อเห็นอัชฌาจารของชนเหล่าอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้นแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป
3) โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ได้แก่ พวกกระเทย ที่ถูกเขาตอนเสียแล้ว(หมายถึง ขันที)
4) ปักขบัณเฑาะก์ ได้แก่ พวกกระเทย ที่เป็นกระเทยเฉพาะในวันข้างแรม แต่ในวันข้างขึ้น ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป
5) นปุงสกบัณเฑาะก์ ได้แก่ พวกกระเทย ที่เกิดมาแล้วไม่ปรากฏว่าเป็นชายหรือหญิงมาแต่กำเนิด

โดยที่ อาสิตตบัณเฑาะก์(1) และ อุสุยยบัณเฑาะก์(2) สามารถให้บวชเณรได้(บรรพชา) แต่ก็บวชพระ(อุปสมบท)ไม่ได้อยู่ดี ถ้าทราบ หรือพบเห็น ก็สามารถจับสึกออกไปได้ทันที ส่วนกระเทยในอีกสามพวกที่เหลือนั้น ห้ามทั้งบวชพระ(อุปสมบท)และบวชเณร(บรรพชา) นอกจากนี้ยังมีกระเทยอีกพวกหนึ่ง เรียกว่า “อุภโตพยัญชนก” หมายถึง “กระเทยแท้” คือมีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงปรากฏอยู่ด้วยกันทั้งสองเพศ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงห้ามมิให้บวช(พระ)เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ขอให้สังเกตด้วยว่า แม้สังคมอินเดียในสมัยพุทธกาลจะยังไม่ให้สิทธิความเสมอภาคแก่สตรีมากนัก แต่พระพุทธศาสนา ก็ยังยินยอมให้สิทธิกับสตรี สามารถเข้ามาบวชได้อย่างเท่าเทียมกับบุรุษ แม้ว่าสตรีเหล่านั้นจะต้องพบกับกฏระเบียบอันเข้มงวดมากกว่าก็ตาม ในทางกลับกันพระพุทธศาสนากลับห้ามเด็ดขาดที่จะให้พวกกระเทยออกบวช ดังนั้น ถ้าการที่คณะสงฆ์ไทยยืนยันที่จะไม่บวชภิกษุณี โดยอ้างความเข้มงวดของพระธรรมวินัยแห่งพุทธศาสนานิกายเถรวาทแล้วไซร้ ก็ขอให้คณะสงฆ์ไทย รักษาความบริสุทธิ์ของพระธรรมวินัย ด้วยการจับ พระตุ๊ด สึกออกไปให้หมด ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นพระสังฆาธิการในระดับใดก็ตาม อย่าได้ทำให้พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปเกิดความคลางแคลงใจว่า คณะสงฆ์ไทย มีอคติทางเพศในเรื่องที่เกี่ยวกับการบวชภิกษุณี แต่กลับมีพฤติกรรม “ลูบหน้าปะจมูก” ในกรณีของ “พระตุ๊ดเณรแต๋ว” อันอาจจะก่อให้เกิด “ความสับสน” ทางหลักการ ในหมู่พุทธศาสนิกชน ซึ่งอาจบานปลาย จนกลายเป็นวิกฤติศรัทธาไปในท้ายที่สุดก็ได้ เท่าที่มีพวก “สับสนทางเพศ” ออกเพ่นพ่านอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เรียกร้องจะเอาโน่นเอานี่ไม่รู้จักหยุดหย่อน ก็เป็นภาระต่อสังคมมากพออยู่แล้ว ฉนั้นจึงขอว่าอย่าให้เกิดอาการ “สับสนทางพระ” ขึ้นมาในสังคมอีกเลยนะครับ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เกรงว่าสังคมบ้านเมืองของเรา คงจะ “อาพาธหนัก” จนเกินกว่าที่จะเยียวยารักษาได้เสียแล้ว .....