วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

กุลเกย์ ...... กระเทยผู้มีชาติตระกูล (?)





เมื่อได้เห็นคำว่า “กุลเกย์” ในครั้งแรกนั้น ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดทีเดียว ในอันที่จะสามารถทำความเข้าใจให้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ ? แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งใช้พยายามมากเท่าไร ความเข้าใจที่เป็นเป้าหมายนั้น ก็จะยิ่งเลือนลางลงไปทุกทีๆ

ในขั้นแรกนั้น เราต้องพิจารณาคำว่า “กุล” นั้นเสียก่อน โดยคำๆนี้ หมายถึง ตระกูลหรือสกุล ซึ่งหมายถึง เชื้อสายหรือเผ่าพันธุ์ โดยในภาษาไทยนั้น คำว่า “สกุล” มิได้เพียงแค่หมายถึง เชื้อสายหรือเผ่าพันธุ์ เท่านั้น แต่อาจหมายถึง “เชื้อชาติผู้ดี” ได้อีกหนึ่งความหมายด้วย เช่นในคำว่า สกุลรุนชาติ นั้นหมายถึง ตระกูล(ของ)ผู้ดี

เมื่อค้นดูความหมายของคำว่า “ผู้ดี” ก็มักจะพบว่าหมายถึง คนที่เกิดในตระกูลดี หรือ คนที่มีมารยาทดีงาม สุดท้าย คำว่า “มารยาท” หมายถึง กิริยาวาจาที่ถือว่าเรียบร้อย เมื่อพิจารณาจากหนังสือเรื่อง “สมบัติผู้ดี” ของ เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราบดี ซึ่งได้ระบุถึง กิริยา และวาจาที่ถือว่าเรียบร้อย นั้นโดยส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นเพียงแค่ ความประพฤติทางกายวาจา หรือมารยาททางสังคม ที่ยอมรับกันว่า “ดีงาม” ซึ่งนั่นก็เป็นการยอมรับกันในเฉพาะสังคมหนึ่งๆ และในเวลาหนึ่งๆทางประวัติศาสตร์เท่านั้น คงจะถือเอาเป็นมาตรฐานในปัจจุบันมิได้

ดังนั้น จำเพาะการหาความหมายในเบื้องต้นนี้ เราก็อาจจะต้องพบกับปัญหาเสียแล้ว เพราะถ้าเราจะยึดเอาความหมายของคำว่า “กุล” ว่าหมายถึง เชื้อสายหรือเผ่าพันธุ์ กุลเกย์ ก็จะหมายความว่า เชื้อสายกระเทย หรือ เผ่าพันธุ์กระเทย ซึ่งการให้ความหมายในลักษณะนี้ นอกจากจะเข้าใจได้ยากแล้ว ยังอธิบายได้ยากอีกด้วย เพราะในทางมนุษยวิทยา คงจะไม่สามารถสร้างทฤษฎีใดๆขึ้นมาเพื่อรองรับคำว่า กุลเกย์ ในความหมายนี้ได้ ด้วยเหตุที่คงไม่มีใครสามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ว่า พวกกระเทยเหล่านี้ สามารถสืบเชื้อสายและดำรงเผ่าพันธุ์ โดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ได้อย่างไร ?

ทั้งนี้ลองสังเกตดูว่า ในภาษาไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้ว คำที่มาเชื่อมกับคำว่า “กุล” มักที่จะส่อไปในความหมายอันเกี่ยวกับเชื้อสายเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้น เช่นคำว่า กุลธิดา หมายถึง ลูกหญิงผู้มีตระกูล คำว่า กุลบุตร หมายถึง ลูกชายผู้มีตระกูลแต่ถ้าหากจะยึดเอาความหมายว่า “เชื้อชาติผู้ดี” กุลเกย์ ก็จะมีความหมายว่า “กระเทยผู้ดี” แต่คำว่า “ผู้ดี” นั้นก็มีอยู่สองความหมายคือ

1. ในความหมายดั้งเดิมนั้น ผู้ดี หมายถึง คนที่เกิดในตระกูลดี ถ้าใช้ความหมายนี้ กุลเกย์ ก็จะหมายถึง กระเทยที่เกิดในตระกูลดี
2. ในความหมายใหม่ ผู้ดี หมายถึง คนที่มีมารยาทดีงาม กุลเกย์ ก็จะหมายถึง กระเทยที่มีมารยาทดีงาม

เข้าใจว่า ผู้บัญญัติศัพท์ “กุลเกย์” คงหวังที่จะใช้ความหมายที่สองนี้นั่นเอง แต่ถึงกระนั้น ความคาดหวังที่จะใช้คำว่า กุลเกย์ ในความหมายนี้ ก็คงจะไม่อาจสมความประสงค์ได้อย่างง่ายๆอยู่ดี เพราะคำว่า มารยาทดีงาม หรือความประพฤติดีงามนั้น ล้วนแล้วแต่ผูกพันอยู่กับ ขนบธรรมเนียม อันเป็นที่ยอมรับของสังคมคนส่วนใหญ่ หมายความว่า ในกรณีของกระเทยนั้น แทนที่เราจะมาพูดถึง “กระเทยมารยาทดี” ที่สังคมยอมรับ ว่าเป็นอย่างไร ? แต่ที่จริงแล้ว เราควรพิจารณากันให้ถ่องแท้เสียก่อนด้วยซ้ำว่า สังคมได้ให้การยอมรับ กระเทย อย่างเต็มใจ และอย่างเข้าใจ แล้วหรือยัง ?

นั่นจึงเท่ากับว่า ถ้าหากสังคมคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ กระเทย ก็คงไม่เกี่ยวกับว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นกระเทยมารยาทดี หรือมารยาทเลว แต่เป็นไปได้อย่างมากว่า ที่สังคมคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับกระเทยนั้น ก็เป็นการไม่ยอมรับใน “อัตลักษณ์” ความเป็นกระเทยของพวกเขานั่นเอง !!!!น่าแปลกเป็นอย่างยิ่ง ที่เมื่อนำคำว่า กุลเกย์ มาเทียบกับคำว่า กุลสตรี กลับทำให้สามารถ “แลเห็น” และเข้าใจความหมายของ กุลเกย์ ในบางแง่บางมุมได้อย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้น โดยคำว่ากุลสตรีนั้นมีความหมายว่า หญิงผู้มีตระกูลและมีความประพฤติดี หมายความว่า การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะเป็นกุลสตรีได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีอยู่สองส่วน นั่นคือ

1. ต้องมีตระกูลดี
2. ต้องมีความประพฤติดี

นั่นจึงเท่ากับว่า นอกจากพวกกระเทย จะไม่สามารถนำตนเองมาเปรียบเทียบกับผู้ชายที่ดีและเลวโดยทั่วไปได้ ด้วยเหตุผลเบื้องต้นที่ว่าพวกเขาเป็นชายที่ไม่เต็มชายแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อนำพวกเขามาเปรียบเทียบกับ ผู้หญิงที่ดี บนพื้นฐานของความหมายของคำว่า กุลสตรี ก็ยิ่งแย่กันเข้าไปใหญ่ เพราะเหตุที่ กุลสตรีนั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีอยู่สองส่วน นั่นคือ

1. ต้องมีตระกูลดี
2. ต้องมีความประพฤติดี

นประเด็นแรกเรื่องวงศ์ตระกูลนั้น คงจะไม่ต้องพูดถึงกันอีก แต่ประเด็นที่สองเรื่องความประพฤติที่ดีนั้น คงจะต้องขยายความกันต่อไปอีกสักหน่อยใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ปรากฏข้อความเป็นพุทธพจน์ ตรัสถึง หญิงซึ่งเป็นที่ชอบใจของชายโดยทั่วไป ความว่า“ดูกรภิกษุทั้งหลาย มาตุคามผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ย่อมเป็นที่ชอบใจของบุรุษโดยส่วนเดียว องค์ ๕ เป็นไฉน คือ มีรูปสวย ๑ มีโภคสมบัติ ๑ มีมารยาท ๑ ขยันไม่เกียจคร้าน ๑ ได้บุตรเพื่อเขา ๑”สามารถอธิบายได้ดังนี้ว่า ผู้หญิงซึ่งจะเป็นที่หมายตาต้องใจของชายโดยทั่วไปนั้น จะต้องมีคุณสมบัติถึงห้าประการด้วยกันคือ

1. มีรูปสวย หมายถึง มีรูปร่างสมประกอบ ไม่พิการ หรือมีรูปร่างน่าเกลียด
2. มีโภคสมบัติ หมายถึง มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีทรัพย์มาก
3. มีมารยาท หมายถึง เป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ไม่เป็นคนทุศีล
4. ขยันไม่เกียจคร้าน หมายถึง คล่องแคล่วในการงานต่างๆ ไม่มีนิสัยขี้เกียจชอบอู้งาน
5. ได้บุตรเพื่อเขา หมายถึง ย่อมให้บุตรที่จะสามารถดำรงวงศ์ตระกูลได้เพื่อบุรุษนั้น

ดังนั้น เมื่อพิจารณา กระเทย เทียบกับ หญิง ซึ่งต่างก็คงจะมีเป้าหมายในอันที่จะเป็นที่ต้องตาต้องใจของ “ชาย” โดยทั่วไป ก็จะพบว่า กระเทย มีคุณสมบัติด้อยกว่าหญิงถึงสองประการด้วยกัน คือ

1. ไม่ว่ากระเทยผู้นั้น จะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังมิอาจนับได้ว่า เป็นผู้มีรูปงาม เพราะผู้ที่มีรูปงาม ตามความหมายนี้ หมายถึงการมีรูปร่างสมประกอบ แต่การที่กระเทยขาดอวัยวะที่สำคัญหลายอย่างเมื่อเทียบกับหญิง ฉนั้น กระเทยจึงควรนับว่าเป็นคนพิการไม่สมประกอบเมื่อเทียบกับหญิงในประเด็นความหมายนี้
2. กระเทย ไม่สามารถให้บุตรดำรงวงศ์ตระกูลกับใครได้ ดังนั้น กระเทยจึงเปรียบเสมือน “หญิงเป็นหมัน” ซึ่งย่อมได้ชื่อว่า ไม่เป็นที่ชอบใจของชายใดๆเลย

และแม้ว่าในท้ายที่สุดนี้ เราจะยังไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจนในความหมายที่แน่นอนแจ่มชัดของคำว่า กุลเกย์ ได้อย่างแท้จริง แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงที่ว่า แม้เหล่ากระเทยทั้งหลายจะพยายามสร้าง “อัตลักษณ์” ความเป็นตัวตนขึ้นมา เพื่อแสวงหาจุดยืนและแสดงออกถึงความมีอยู่ของพวกเขาในความรับรู้ของผู้คนในสังคม แต่เมื่อพิจารณากันอย่างรอบคอบและรอบด้านแล้วพบว่า ความพยายามทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น กลับกลายเป็นเพียงแค่การสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาอย่างไร้ความรับรู้และความเข้าใจของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นพื้นฐานรองรับ หมายความว่า พวกกระเทย กำลังพยายามสร้างความหมายในอัตลักษณ์ของตนขึ้น บนความไร้ความหมายในเชิงความรับรู้ของผู้คนในสังคม จนอาจกลายเป็นว่า ความพยายามแสวงหาความหมายและจุดยืนอันไร้แก่นสารเหล่านี้ อาจจะนำมาซึ่งความทุกข์กายทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสต่อพวกเขาเหล่านั้นในท้ายที่สุดก็เป็นได้