วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ตัวการสำคัญ !!!!

เมื่อได้เห็นข่าว “ผัดกะเพราเนื้อคน” จากทางหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกสังเวชใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ จากเนื้อข่าวนั้นได้ความว่า นางสาว น.(นามสมมุติ) อายุ 20 ปี ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในความผิดฐานทำให้แท้งลูก เหตุเกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านรังสิต โดยนางสาว น.(นามสมมุติ) ยอมรับว่า ตนเองได้ทำแท้งและเป็นผู้ที่ลงมือหั่นศพทารกใส่ถุงไปทิ้งในถังขยะ โดยไม่ได้คาดคิดว่า จะมีคนมาเก็บเนื้อนั้นไปเพื่อเตรียมทำอาหารกิน เคราะห์ดีที่มี เจ้าหน้าที่กู้ชีพคนหนึ่งมาพบเข้า แล้วเห็นผิดสังเกต จึงได้แจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ จนกลายเป็นข่าวครึกโครมในที่สุด โดยนายตำรวจเจ้าของคดี กล่าวว่า “คดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญ และโหดร้ายมากเป็นที่สนใจของประชาชน ซึ่งหลังพบศพทางเจ้าหน้าที่จึงได้เร่งสืบสวนจนทราบว่าหญิงคนดังกล่าวนั้นทำแท้งแล้วสับลูกทิ้งท่อน้ำ จึงได้จับกุมตัวมาสอบสวน ซึ่งเจ้าตัวให้การรับสารภาพ จึงแจ้งข้อหา ทำให้ตนเองแท้งลูก ซึ่งมีความผิดต้องระวางโทษ จำคุก 3 ปี จึงได้ควบคุมตัวไว้ดำเนินคดี”
การที่ นายตำรวจเจ้าของคดี กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญ ประเด็นนี้ผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ที่กล่าวว่า เป็นคดีที่โหดร้ายมากนั้น บอกตามตรงว่า ผมยังไม่อาจเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดนักว่า ที่กล่าวว่า “โหดร้าย” นั้นหมายถึงใครกันแน่ ????

ถ้าจะสังเกตกันให้ดีแล้วจะพบว่า ในกรณีที่มีข่าวการทำแท้ง หรือพบเด็กถูกทิ้งใว้ในที่ต่างๆนั้น สื่อก็มักจะพาดหัวข่าวไปในทำนองว่า “แม่ใจยักษ์” ทิ้งลูก ฆ่ามารหัวขน อะไรเทือกๆนั้น ซึ่งแม้ว่านั่นจะเป็นข้อเท็จจริง แต่มันก็เป็นเพียงแค่ “ข้อเท็จจริงบางส่วน” ที่ปรากฏออกมาให้สาธารณชนได้มีโอกาสรับรู้เท่านั้น โดยที่อีกส่วนที่เหลือนั้น กลับถูกละเลย และได้หมักหมมซ่อนเร้นอยู่ในมุมมืดของสังคมมาโดยตลอด

ในเบื้องต้นนั้น เราจะต้องยอมรับความจริงกันเสียก่อนว่า ลำพังตัวของผู้หญิงคนเดียวนั้น เธอคงไม่สามารถที่จะตั้งครรภ์ได้เอง นี่เป็นเหตุผลตามธรรมชาติที่ใครๆก็ไม่อาจเถียง จนแม้แต่ในพระไตรปิฎก ก็ยังสามารถพบข้อความที่ยืนยันความจริงในเรื่องนี้ได้ โดยที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาใว้ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ใน พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ว่าด้วยเหตุแห่งการเกิดในครรภ์ ดังนี้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดู สัตว์ที่จะมาเกิดก็ปรากฏ เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี” หมายความว่า การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ขึ้นมาได้นั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าจะต้องประกอบด้วยปัจจัยสามประการคือ

1. หญิงชายอยู่ร่วมกัน
2. หญิงนั้นมีระดู(ประจำเดือน)
3. มีสัตว์ผู้จะมาเกิด

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ในสังคมของเราเวลานี้ เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้นก็ตามในเรื่องที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ มักกลายเป็นว่า ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายที่จะต้องแบกรับภาระเอาใว้แต่เพียงลำพังอยู่ร่ำไป แต่ฝ่ายชายซึ่งเป็นปัจจัยอันสำคัญในการก่อให้เกิดปัญหาต่างๆขึ้นมานั้น กลับลอยนวลหลบหายไปในกลีบเมฆ โดยไม่เคยมีใครในสังคมแห่งนี้ ที่จะไปสืบเสาะค้นหาตัว เพื่อถามหาคุณธรรมจริยธรรมและความรับผิดชอบจากเขาผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย (?)

เหตุผลในการที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้ทำแท้งลูกของตนนั้น ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม ขอให้ยกเอาใว้ก่อน แต่สิ่งที่สังคมจะต้องหันกลับมาพิจารณาก็คือ ใครบ้างที่ควรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในทางกฏหมายในฐานะจำเลย ? โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ ในมาตรา301 ของประมวลกฏหมายอาญา ระบุเอาใว้ว่า “หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนเองแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

นั่นจึงหมายความว่า กฏหมายอาญาของไทยในปัจจุบันนี้ ระบุโทษเอาผิดก็แต่เฉพาะผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น หาได้คิดที่จะเอาผิดกับฝ่ายชายไม่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็เป็นต้นเหตุของการกระทำผิดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่า ถ้าหากเลือกได้ ก็คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่อยากจะไปทำแท้ง เพราะนอกจากจะทำให้ต้องรู้สึกผิดบาปไปจนชั่วชีวิตแล้ว ยังอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวของผู้ทำแท้งเองอีกด้วย ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่ของหญิงที่ตัดสินใจทำแท้ง ก็มักจะเกิดจากการที่ฝ่ายชายไม่คิดรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง โดยทิ้งให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้รับผิดชอบปัญหาเหล่านี้เอาเองตามลำพัง

มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่สังคมไทย โดยเฉพาะสังคมของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชน จะหันมาพิจารณาเรื่องนี้กันอย่างรอบคอบและรอบด้านกันเสียที โดยเริ่มต้นด้วยการละเลิกการใช้ถ้อยคำประณามหญิงผู้ทำแท้งว่าเป็น “คนโหดร้าย ใจยักษ์ใจมาร” กันเสียที หากแม้นว่ายังทำตามนี้ไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ก็อย่าได้ประณามผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ขอให้ประณาม ตัวผู้(ชาย)ซึ่งเป็นต้นตอของการกระทำผิดอย่างแท้จริงนั้นด้วย ในฐานะที่เป็น “ตัวการและผู้สนับสนุน” เป็นตัวต้นเหตุและเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำผิดทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้อย่างแท้จริง โดยในมาตรา84 ของประมวลกฏหมายอาญา ระบุเอาใว้ว่า

“(1)ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการ ใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
(2)ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดใว้สำหรับความผิดนั้น”

หมายความว่า โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคมเวลานี้ก็คือ ตัวผู้(ชาย)นั้นเอง ที่มักจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำแท้งของฝ่ายหญิง แต่สิ่งที่ปรากฏออกมากลับกลายเป็นว่า ฝ่ายหญิงต้องตกที่นั่งลำบาก กลายมาเป็นทั้งจำเลยทางกฏหมายและจำเลยทางสังคมแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือ ถ้าหากฝ่ายชายเป็นมีคุณธรรมจริยธรรมในใจแม้เพียงสักนิด โดยคิดรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำร่วมกันกับฝ่ายหญิง เหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆก็คงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าตราบใดที่สังคมยังละเลย ปล่อยให้ฝ่ายชายสามารถหนีปัญหาและผลักภาระทั้งหมดไปให้ฝ่ายหญิง โดยที่ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบใดๆเลยทั้งทางกฏหมายและทางสังคม นั่นก็จะเท่ากับว่า สังคมไทยกำลังให้ท้ายและยุยงส่งเสริมให้ชายไทย ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างคนที่ขาดคุณธรรมจริยธรรม ไร้เมตตาและความรับผิดชอบอย่างถึงที่สุด ซึ่งนั่นจะเท่ากับว่า ที่เป็น “คนโหดร้าย ใจยักษ์ใจมาร” ไม่ใช่หญิงทำแท้งนั้นหรอก แต่เป็นตัวผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบนั่นต่างหาก เพราะทั้งๆที่รู้อยู่ว่าหญิงที่ตั้งครรภ์กับตนจะต้องได้รับความลำบากแสนสาหัส แต่เขาก็ยังกล้าทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี เมื่อเป็นดังนี้แล้ว คุณคิดว่ายังจะมีใครที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต มากไปกว่าพวกผู้ชายเหล่านี้อีกหรือไม่ ? อีกทั้ง ถ้าสังคมโดยรวมยังหลับหูหลับตาปล่อยปละละเลย ให้ท้ายพวกผู้ชายไร้ยางอายเหล่านั้นอยู่อีก สังคมแห่งนั้นก็จะกลายเป็น “สังคมใจยักษ์ใจมาร” อย่างที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงไปได้เลย !!!!

ขอให้สังเกตด้วยว่า การที่ฝ่ายชาย ปฏิเสธความรับผิดชอบ จนฝ่ายหญิงต้องตัดสินใจไปทำแท้งนั้น มันต่างกับการที่ ฝ่ายชาย ใช้ให้ฝ่ายหญิงไปทำแท้ง ตรงไหน ?มันต่างกับการที่ ฝ่ายชาย บังคับให้ฝ่ายหญิงไปทำแท้ง ตรงไหน ?มันต่างกับการที่ ฝ่ายชาย ยุยงส่งเสริมให้ฝ่ายหญิงไปทำแท้ง ตรงไหน ?

ดังนั้น จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า ในมาตรา301 ของประมวลกฏหมายอาญา ที่ระบุเอาใว้ว่า “หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีฯ ” นั้นอาจเปลี่ยนเป็นว่า “ชายใดเป็นเหตุให้หญิงทำแท้งลูกของชายผู้นั้นฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีฯ ” โดยแนวคิดนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลสองประการคือ

1. โดยปกติแล้ว หญิงโดยทั่วไปมีจิตใจอ่อนโยน ย่อมไม่คิดทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง แต่มักทำไปเพราะแรงกดดันอันเกิดจากสภาพแวดล้อม
2. หากว่าเกิดการกระทำผิดขึ้น ก็ควรที่จะเอาผิดกับฝ่ายชายก่อน ในฐานะที่เป็นตัวต้นเหตุ จะปล่อยให้หลบหลีกลอยนวลดังที่เป็นมาแต่ก่อนมิได้

ถ้าหากกฏหมายบ้านเมืองจะเปลี่ยนวิธีคิด โดยหันไปเอาผิดกับฝ่ายชาย มากกว่าที่จะไปเอาผิดกับฝ่ายหญิง ก็น่าจะช่วยลดปัญหาการทำแท้งได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว ก็เป็นฝ่ายชายนั่นเอง ที่เป็นทั้งสาเหตุและตัวกระตุ้นให้ฝ่ายหญิงต้องไปทำแท้ง ฉนั้น ถ้ากฏหมายไทยเปลี่ยนไปเอาผิดกับฝ่ายชาย ก็จะทำให้ฝ่ายชายไม่กล้าไล่ตะเพิดให้ผู้หญิงไปทำแท้งโดยที่ตนเองไม่ยอมรับผิดชอบใดๆเลยอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป เพราะถ้ายังขืนทำอย่างเดิมอยู่อีก ก็จะเป็นเขานั่นเองที่จะเป็นฝ่ายถูกดำเนินคดี ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มิได้จะหมายความว่า เมื่อฝ่ายหญิงไปทำแท้งแล้ว ก็จะไม่ได้รับโทษใดๆเอาเสียเลย เป็นแต่เพียงเสนอว่า ควรเอาผิดกับฝ่ายชายด้วยในฐานะที่เป็นตัวต้นเหตุของปัญหา ซึ่งที่แล้วๆมา สังคมและกฏหมายไม่เคยคิดเอาผิดเอาโทษกับเขาเหล่านั้นเลย แต่คราวนี้ เห็นว่าควรได้รับการลงโทษด้วยกันทั้งคู่ แต่ถ้าหากแม้นว่า ยังไม่สามารถสืบหาฝ่ายชายผู้เป็นต้นเหตุแห่งการตั้งครรภ์ได้ กฏหมายก็ควรที่จะชลอการเอาโทษกับฝ่ายหญิงใว้ก่อน โดยจะตัดสินโทษได้ก็ต่อเมื่อสืบหาตัวผู้(ชาย)ได้เสียก่อนเท่านั้น เมื่อทำได้อย่างนี้ จึงจะได้ชื่อว่า “ยุติธรรม” คือยุติปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้ด้วยความเป็นธรรม โดยเชื่อแน่ว่า ด้วยวิธีการดังกล่าวมานี้ ก็น่าจะทำให้ปัญหาการทำแท้งในสังคมไทยลดน้อยลงไปได้ในที่สุด .....