วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะ แมวกินหนู (กรุณาทำความเข้าใจ ให้ตรงกันเสียก่อน)

อ้างจาก กระทู้ PANTIP_COM Y9900813 มาดูเทวดากินมังคุด ของคุณระนาดเอกกัน มาดู เร็ว เร๊วๆๆ

ความคิดเห็นที่ 38

มันคงเป็นเวรกรรมของท่านพุทธทาส ที่จะต้องมีไอ้พวก "กระบือริมคอก"
ผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันเข้ามาทำให้ท่านต้องถูก "ขุด" ขึ้นมา อยู่เรื่อย

พระคุณท่านสหธรรมคนนี้เห็นเคยบอกว่า ถ้าพบเจอระนาดที่ไหน จะหนีไปให้ไกล
ถ้าระนาดยังเสือกเข้ามาใกล้อีก จะหนีไปผูกคอตาย ไม่มาที่พันทิปอีกเลย

ก็อย่างว่า .. พวกเทวดามังคุด ละมุดลำไย
ทนกลิ่นมนุษมนาเดินดินอย่างเราไม่ได้
เป็นเทวดาไม่อาบน้ำ กลิ่นก็ยังหอม
ทั้งไม่ต้องอ่านหนังสือ คนไทยอ่านปีละหกบรรทัด มากไป เป็นเทวดา สบายยย
ไม่ต้องคิดอะไร ไม่เคยได้ใช้อะไรคิด สบ๊ายสบาย หัวก็โล้งโล่ง ก๊องๆ

เอ้า เข้าประเด็น

สหธรรมเย้ยหยันคุณศิษย์พระป่าที่ระบุว่า "ท่านพุทธทาสเป็นมิจฉาทิฏฐิ"

ฟังว่าคุณสหธรรมก็นับถือท่านปราโมทย์อยู่ ใช่มั้ย
เห็นทำสะดิ้งเกลียดคนใช้วาจาหยาบ
แต่สมเด็จพระก๋งสหธรรม ช่างพูดจาไพเราะจังเลย
ด่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพระปราโมทย์ว่าเป็นไอ้พวก "อมนุษย์" !
เจ๊ตเป็ด! ถ้ากูเป็นหมาได้นี่ มีกระหยิ่มเลยนะเนี่ย อมนุษย์อยู่ต่ำกว่าเราอีก โฮ่งๆ ฮ่า ดีใจจัง

ลองเอาคำของท่านพุทธทาสต่อไปนี้ ไปถามพระปราโมทย์ท่านดูว่า
อย่างนี้เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
ที่ต้องแนะให้กลับไปถามพระอาจารย์
ก็เพราะคุณสหธรรมสารภาพว่าตัวเองโง้โง่
เฮ้ย ไม่ใช่ คือคุณบอกว่า..
คุณน่ะโตเป็นควายแล้ว แต่สติปัญญายังแค่เด็กประถม

ห๊าา ควายมีสติปัญญาเท่ากับเด็กประถม!!

โอ้โห ลิงชิมแปนซีจ๋อยไปเลย
คุณฉลาดกว่าลิงซะอีก เป็นควายอัจฉริยะจริงๆ
คงจะดวดเป๊ปตีนทุกวัน

ทว่า แม้จะฉลาดเป็นควายฉกรรจ์ยังไงก็ตามที
แต่ในเมื่อคนมันมีภูมิแค่เด็กประถม ผมก็เลยต้องแนะให้ไปถามพระอาจารย์โน่นไง
กระนั้น ถ้าคุณสหธรรมจะลองพิจารณาดูเอง ก็ได้ ลองดู

"แมวเห็นหนูก็จะตะครุบกิน นี่พวกที่เถรตรงก็ว่าแมวบาป แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็บาป อย่างนี้ เราก็มีความเห็นด้วยไม่ได้ แมวไม่มีเจตนาฆ่าหนู มันจะกินเท่านั้น แต่พวกอาจารย์บางพวก บางกลุ่มเขาจัดให้แมวนี้เป็นบาป เป็นเวรตกนรก ผูกพันกันกับหนูกลับไปกลับมา เรียกว่า มันขาดศีล แต่อาตมาเห็นว่า แมวไม่มีเจตนาฆ่า มันมีความรู้สึกแต่จะกินเท่านั้นแหละ เห็นหนูก็คือเห็นอาหาร เป็นอาหารก็กินเท่านั้นแหละ " 1
. . . . . . . . . .
เอ๊ะ! เสือกินคนก็ไม่บาปน่ะซี

พระพุทธเจ้าแสดงหลักการในการล่วงกรรมบถไว้ว่า ศีลปาณาฯ มีองค์ศีล ๕ ประการ
ไม่มีประการใดเลยที่ยกเว้นว่า สัตว์เดรัจฉานเบียดเบียนชีวิตสัตว์เดรัจฉานด้วยกัน ไม่บาป
สัตว์เดรัจฉานทำบาปแล้วไม่บาป เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ใช่มนุษย์ ?
หรือก็คือ ศีล กรรมบถ มีไว้สำหรับมนุษย์
ถ้าไม่ใช่มนุษย์ ทำบาปแล้วไม่บาป??

ถ้าเช่นนั้น ยักษ์ตนหนึ่งมาพบพระสารีบุตรเข้านิโรธสมาบัติ
ยักษ์เอากระบองตีศีรษะพระสารีบุตร ทำไมจึงบาปจนธรณีสูบลงนรกอเวจีทันที !

น่าคิดว่า หรือท่านพุทธทาส ไม่เคยมองในแง่ของ "สัตว์" อื่น ที่นอกจากมนุษย์และเดรัจฉาน
ตรรกะของท่านจึงมีช่องโหว่ ?

แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง พ่อกระบองปอสือ
มากกว่านี้ เดี๋ยวเป๊ปตีนเอาไม่อยู่
ฉะนั้นแล้ว คุณคิดว่าการที่คุณศิษย์พระป่าลงความเห็นว่าท่านพุทธทาสเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ยังจะเป็นการกล่าวเกินจริงไปอีกมั้ย

คุณศิษย์พระป่าไปกล่าวหาท่านพุทธทาส นั่นก็เพียงแค่ท่านพุทธทาส
ซึ่งยังมีความด่างพร้อยปรากฏอยู่ในผลงานของท่านพุทธทาส
ถ้าท่านไม่มีความด่างพร้อยผิดพลาดเลย
แล้วพวกศิษย์ในยุคนี้ เขาต้องไปตามแก้ไขเซ็นเซอร์ผลงานของท่านพุทธทาสออกไปตั้งมากมาย ทำไมกัน

หรือว่าคุณสหธรรมไม่รู้เรื่องเลยว่า ผลงานของท่านพุทธทาสถูกชำระล้างโดยพวกศิษย์รุ่นหลังไปมากแล้ว

ขนาดที่แก้ไขแล้ว ก็ยังมีหลุดออกมาอีกมาก
ยกมาให้ดูก็ได้ ที่ท่านพุทธทาสไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้า

“ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง. ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจ หรือ ติดแน่น ในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย" 2

ขอถามว่า คุณสหธรรมยอมรับการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ได้ลงคอหรือ

คุณสหธรรมไปหัวเราะเยาะคุณศิษย์พระป่า
แล้วโมฆบุคคลอย่างคุณ ไปจาบจ้วงพระอานนท์ว่าไป "แอบฟัง" พระพุทธเจ้า บนดาวดึงส์?!
คุณทราบมั้ยว่าตลอดพระชนม์ของพระพุทธเจ้า
พระองค์ไปสู่ดาวดึงส์เพื่อแสดงธรรมกี่ครั้ง?

มีครั้งเดียวเท่านั้น คือครั้งที่เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดานั่นแหละ

แม้แต่ "อุทุมพลิกาสูตร" ก็ทรงแสดงในครั้งที่ไปโปรดพระพุทธมารดานั่นเอง ทรงสงเคราะห์เทวดากำลังจะหมดบุญ

และไม่ใช่แต่เฉพาะพระพุทธเจ้า โคตมะ ของพวกเราเท่านั้น
แม้พระพุทธเจ้าในอดีต ก็มีพุทธประเพณี เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดอดีตพระพุทธมารดาเหมือนกัน
ดังที่คุณศิรัสพลยกพระไตรปิฎกมาให้ดูแล้ว
ที่ต้องย้ำคือ พระสูตรที่คุณศิรัสพลนำมาแสดงนั้น เป็น "พระพุทธพจน์ตรัสเองจากพระโอษฐ์" ด้วย

พระอานนท์ไม่จำเป็นต้องไปแอบฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรมบนดาวดึงส์เลย
และก็ไม่มีพระสูตรใดกล่าวว่าพระอานนท์ไปสู่ดาวดึงส์ อย่างที่คุณสหธรรม ยัดข้อหาให้พระอานนท์ด้วย!

กล่าวให้ชัดก็คือ ไม่มีพระสาวกใด ได้ตามเสด็จไปสู่ดาวดึงส์

การไปสู่ดาวดึงส์นั้น เป็น "พุทธกิจส่วนพระองค์" ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

(ที่จริงมีเหตุผลเบื้องลึกกว่านั้น เกี่ยวแก่การแยกกายไปทำกิจพร้อมกัน ซึ่งเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า - พระสาวกไม่มีความสามารถทำได้(ทำนองยมกปาฏิหาริย์))

ไม่ต้องห่วงว่า พระอานนท์จะต้องไปแอบฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมที่ไหน
ในทางตรงกันข้าม พระพุทธเจ้านั่นแหละ เมื่อเสด็จไปแสดงธรรมที่ใดให้แก่บุคคลใดก็ตาม
ต้องทรงกลับมาแสดงธรรมนั้น "ซ้ำ" ให้เป็นการเฉพาะแก่พระอานนท์ ตามที่พระอานนท์ต้องการเสมอ
เพราะพระอานนท์ทูลขอเงื่อนไขนี้ให้พระพุทธองค์ทรงรับปาก เมื่อครั้งพระอานนท์จะบวช

ดังนั้น พระอานนท์จึงเป็นบุคคลที่มีโอกาสได้เรียนพระธรรมจากพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุดยิ่งกว่าพระสาวกรูปใด
อีกทั้งการที่ทรงเสด็จไปแสดงพระอภิธรรมปิฎกแก่อดีตพระพุทธมารดาบนดาวดึงส์
พระสารีบุตร เป็นผู้ไปรับเสด็จพระพุทธเจ้าทุกวัน ตลอดเวลาสามเดือน
และพระองค์ทรงเลือกแสดงพระอภิธรรมแก่พระสารีบุตร ก่อนแสดงให้แก่พระอานนท์
หลังจากนั้น พระอานนท์จึงได้ศึกษาพระอภิธรรมจากพระสารีบุตร

ผมจึงแปลกใจและสังเวชใจว่า คุณสหธรรมเอา "อะไร" ไปกล่าวตู่จาบจ้วงพระอานนท์!
หาว่าพระอานนท์ต้องไป "แอบฟัง" พระพุทธเจ้าแสดงธรรม ?!

ระหว่างคุณศิษย์พระป่าที่ลงความเห็นว่า ท่านพุทธทาส เป็นมิจฉาทิฏฐิ - เป็นความจริงโดยจำนนต่อหลักฐานให้เห็นคาตาอยู่
เทียบกับคุณสหธรรมที่กล่าวตู่จาบจ้วงพระอานนท์ หาว่าพระอานนท์ไป "แอบฟัง" พระพุทธเจ้าแสดงธรรม
มีพระไตรปิฎกให้เป็นหลักฐานอยู่ว่า พระอานนท์ไม่มีความจำเป็นต้องไป "ครูพักลักจำ" แอบฟังพระพุทธเจ้าในที่ใดเลย

(ตรงนี้เชื่อว่าถ้าท่านฐานาฐานะผ่านมาพบเข้า ท่านก็จะเมตตาไปค้นพระสูตรที่พระอานนท์ได้สิทธิพิเศษจากพระพุทธเจ้า มาให้ชาวเราดูเอง)

ผมรู้สึกขำในการพรีเซ้นท์ท่านพุทธทาสของคุณสหธรรม
คงคิดว่าโก้มากที่ "อ้างฝรั่ง"

การจะยกย่องท่านพุทธทาส หรือยกย่องใคร หรือจะวิพากษ์ใครก็ตาม
เราก็สามารถค้นคว้าด้วยตัวเราเอง พึ่งปัญญาตนเอง
โดยการไปสืบค้นถึงหลักแหล่งที่มาของข้อมูล เช่นจากผลงานของท่านพุทธทาส ที่ท่านทำไว้เอง

ไม่ต้องไปอ้างฝรั่งอั้งม้อจากไหนมาการันตี

การได้รับรางวัลจาก UNESCO นั้น ก็เรื่องหนึ่ง
มันจะสำคัญมากไปกว่า "ความจริง" ที่ปรากฏอยู่ในผลงานของท่านเอง หรือไง
รางวัลของ UNESCO นั้น จะทำให้สิ่งที่ท่านพุทธทาสแสดงไว้ผิดไปจากหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือไง

ท่านพุทธทาสบอกว่า พระอภิธรรมปิฎก เป็นมังคุด กินไม่ได้ ให้โกยทิ้งทะเลให้หมด
คุณสหธรรมก็ทำยิ้มย่องบอกทำนองว่า
ต้องไปหาปราชญ์สักคนนึง เอาที่ยิ่งใหญ่เลอเลิศขนาด UNESCO ต้องให้รางวัลยิ่งใหญ่กว่า
ให้ปราชญนั้นมีชื่อเสียงเหนือกว่าท่านพุทธทาส
มาพูดว่า "พระอภิธรรมปิฎกเป็นพุทธพจน์" หักล้างท่านพุทธทาส..

จึงจะเชื่อถือได้ ??!?

โธ่ .. ไอ้ทิ้งมังคุด นี่คุณโยนมหาปเทสสี่ของพระพุทธเจ้าทิ้งไปด้วย ใช่มั้ย ?!
_______________________________________
1 หนังสือดอกโมกข์ ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา
2 เทวดามีจริงหรือ โดย พุทธทาสภิกขุ

จากคุณ : ระนาดเอก
เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 53 05:06:55



กรุณาทำความเข้าใจ
....ให้ตรงกันเสียก่อน !!!!...


ประเด็นที่ ๑

ท่านพุทธทาสบอกว่า พระอภิธรรมปิฎก เป็นมังคุด กินไม่ได้ ให้โกยทิ้งทะเลให้หมด
คุณสหธรรมก็ทำยิ้มย่องบอกทำนองว่า
ต้องไปหาปราชญ์สักคนนึง เอาที่ยิ่งใหญ่เลอเลิศขนาด UNESCO ต้องให้รางวัลยิ่งใหญ่กว่า
ให้ปราชญนั้นมีชื่อเสียงเหนือกว่าท่านพุทธทาส
มาพูดว่า "พระอภิธรรมปิฎกเป็นพุทธพจน์" หักล้างท่านพุทธทาส..

จึงจะเชื่อถือได้ ??!?

โธ่ .. ไอ้ทิ้งมังคุด นี่คุณโยนมหาปเทสสี่ของพระพุทธเจ้าทิ้งไปด้วย ใช่มั้ย ?!


ตอบ ....

กถาว่าด้วยมหาปเทส ๔

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ….

(๑) อาวุโส ข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา
(๒) สงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้งปาโมกข์ อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่านี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา
(๓) ภิกษุ ผู้เป็นเถระมากรูปอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกาข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา
(๔) ภิกษุ ผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา

ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวน ในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย

(๑)ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึง ทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
(๒) ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงใน พระสูตรได้เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำ สั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่หนึ่งนี้ไว้ ฯ(อ้างจาก มหาปรินิพพานสูตร )

ในกรณีนี้ ถ้านายระนาดเอกยึดถือในหลักมหาปเทส ๔ อย่างเคร่งครัดจริงดังปากว่า นั่นย่อมหมายความว่า นายคนนี้สามารถยกพุทธพจน์จากพระสูตรพระวินัยขึ้นมาอ้างได้จริงว่า ....
(๑) พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ได้ตรัสอภิธรรมปิฎก ณ ดาวดึงส์ จริง (เอาไว้ที่ไหน)
(๒) พระพุทธองค์ตรัสว่า อภิธัมเม นั้นหมายถึง อภิธรรมปิฎก (เอาไว้ที่ไหน)
เพราะจากข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า นายระนาดเอกและคณะ ไม่อาจหาหลักฐานมาแสดงให้เห็นได้จริงเลยนี่ครับ โดยส่วนใหญ่มักอ้างข้อความจากอรรถกถาหรือไม่ก็อ้างคัมภีร์อปทาน(ซึ่งก็มิใช่พุทธพจน์) ซึ่งมิอาจนำมาอ้างเพื่อโต้แย้งพุทธพจน์ได้ !!!!



ประเด็นที่ ๒

คุณสหธรรมไปหัวเราะเยาะคุณศิษย์พระป่า
แล้วโมฆบุคคลอย่างคุณ ไปจาบจ้วงพระอานนท์ว่าไป "แอบฟัง" พระพุทธเจ้า บนดาวดึงส์?!
คุณทราบมั้ยว่าตลอดพระชนม์ของพระพุทธเจ้า
พระองค์ไปสู่ดาวดึงส์เพื่อแสดงธรรมกี่ครั้ง?

มีครั้งเดียวเท่านั้น คือครั้งที่เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดานั่นแหละ

แม้แต่ "อุทุมพลิกาสูตร" ก็ทรงแสดงในครั้งที่ไปโปรดพระพุทธมารดานั่นเอง ทรงสงเคราะห์เทวดากำลังจะหมดบุญ

และไม่ใช่แต่เฉพาะพระพุทธเจ้า โคตมะ ของพวกเราเท่านั้น
แม้พระพุทธเจ้าในอดีต ก็มีพุทธประเพณี เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดอดีตพระพุทธมารดาเหมือนกัน
ดังที่คุณศิรัสพลยกพระไตรปิฎกมาให้ดูแล้ว
ที่ต้องย้ำคือ พระสูตรที่คุณศิรัสพลนำมาแสดงนั้น เป็น "พระพุทธพจน์ตรัสเองจากพระโอษฐ์" ด้วย


ตอบ ....

การที่นายระนาดเอกอ้างว่า “มีครั้งเดียวเท่านั้น คือครั้งที่เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดานั่นแหละ” ย่อมเป็นภาระของนายระนาดเอกนั้นเองที่จะต้องยกหลักฐานมาพิสูจน์คำพูดของตนว่ามิได้เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์ ด้วยเหตุที่ได้ปรากฏหลักฐานในพระสูตรอยู่เพียงแห่งเดียวว่าพระพุทธองค์เสด็จไปแสดงธรรม ณ ดาวดึงส์ คือกรณี จันทนเทวบุตร กล่าวกับ ท่านพระโลมสังกังคิยะ ความว่า ....
“ดูกรภิกษุ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่ควงไม้ปาริจฉัตตกะ ในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ณ ที่ นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ”(อ้างจาก โลมสกังคิยภัทเทกรัตตสูตร)
แต่กระนั้น ก็ไม่ปรากฏข้อความว่า พระพุทธองค์ เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา อยู่ดี เนื่องจาก จันทนเทวบุตร กล่าวชัดเจนว่า พระพุทธองค์ตรัส “อุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ” ซึ่งความข้อนี้ ไม่มีทางที่จะแปลเป็นว่า อภิธรรมปิฎก ไปได้เลย !!!!



ครั้นจะอ้างข้อความจากคัมภีร์อปทาน ก็ยังไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี เนื่องจาก ....

(๑) ข้อความที่อ้างถึงนั้นเป็น คัมภีร์อปทานภาค ๒ พุทธวังสะ โกนาคมนพุทธวงศ์ที่ ๒๓ ว่าด้วยพระประวัติพระโกนาคมนพุทธเจ้า ไม่ใช่ โคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕ ซึ่งว่าด้วยพระประวัติพระโคตมพุทธเจ้า
อีกทั้งยังพบว่า นอกจาก โกนาคมนพุทธวงศ์แล้ว ไม่พบข้อความจากพุทธวงศ์ใดๆเลย(จากทั้งหมด ๒๕ พุทธวงศ์)ที่กล่าวถึงการเสด็จไปยังดาวดึงส์เทวโลก และทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ที่นั่น รวมไปถึง โคตมพุทธวงศ์ ก็ไม่ปรากฏความข้อนี้ด้วยเช่นกัน !!!!

(๒) คัมภีร์อปทาน เป็นคัมภีร์ที่แต่งด้วย “คำฉันท์” จึงมิใช่ “พุทธพจน์ตรัสเองจากพระโอษฐ์” แน่นอน โดยพระพุทธองค์ได้เคยตรัสกับ ภิกษุทั้งหลาย ปรากฏความใน พระวินัยปิฎกเล่ม ๗ ข้อที่ ๑๘๐ ความว่า ….
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงยกพุทธวจนะขึ้นโดยฉันท์(ภาษาสันสกฤต) รูปใดยกขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ”
ซึ่งย่อมเป็นที่แน่นอนเช่นกันว่า พระอรหันตสาวก ๕๐๐ รูปเมื่อครั้งปฐมสังคายนา ย่อมมิอาจล่วงละเมิดพระพุทธบัญญัตินี้(รวมทั้งพระบัญญัติอื่นด้วย)อย่างแน่นอน เนื่องจากท่านมีมติอย่างชัดแจ้งว่า .... “สงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว” สรุปก็คือ อปทาน เป็นคัมภีร์ที่เพิ่งถูกยกเข้าสู่พระไตรปิฎกในภายหลัง มิใช่ของเก่าเมื่อครั้งปฐมสังคายนาอย่างแน่นอน .... ชัดเจนนะครับ

ดังนั้น การที่นายระนาดเอกกล่าวว่า (ข้อความจากคัมภีร์อปทาน โกนาคมนพุทธวงศ์) เป็น “พระพุทธพจน์ตรัสเองจากพระโอษฐ์” จึงเป็นการกล่าวคำเท็จ เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์อย่างชัดแจ้ง !!!!

ส่วนการกล่าวอ้างว่า “การเสด็จไปแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดอดีตพระพุทธมารดาเป็นพุทธประเพณี” นั้นก็เป็นการกล่าวเอาเอง(ของนายระนาดเอก) โดยที่เกินไปจากข้อเท็จจริง ดังที่ได้ปรากฏความในพระวินัยปิฎกว่า พุทธประเพณี นั้นหมายถึง “การที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย” โดยอธิบายความว่า ....

“พระตถาคตทั้งหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ย่อมไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ สิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายด้วยอาการสองอย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง”

กล่าวโดยสรุปก็คือ ปรากฏข้อความโดยทั่วไปใน พระวินัยปิฎก ระบุว่า พุทธประเพณี นั้นหมายถึง การที่ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย ด้วยอาการหรือพุทธประสงค์สองอย่างคือ จักทรงบัญญัติสิกขาบท หรือ จักทรงแสดงธรรม โดยตรัสชัดเจนว่า ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวก แต่มิได้ระบุเอาไว้ตรงไหนเลยว่า ทรงแสดงธรรมแก่พระพุทธมารดา หรือการแสดงธรรมนั้นหมายถึง การแสดงอภิธรรมปิฎก(ที่ดาวดึงส์)
แปลความได้ว่า ถ้าหากนายระนาดเอก ต้องการยืนยันว่า ตนมิได้กล่าวตู่(พุทธพจน์) เขาก็ย่อมต้องแสดงหลักฐานให้เห็นว่า มีพุทธพจน์ตรัสเอาไว้ที่ใดหรือไม่ว่า “การเสด็จไปแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดอดีตพระพุทธมารดาเป็นพุทธประเพณี” ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายคนนี้จะเข้าใจความหมายของคำว่า “พุทธพจน์” จากพระสูตรและพระวินัย ตามหลักมหาปเทส ๔ นะครับ (?)




ประเด็นที่ ๓

ขนาดที่แก้ไขแล้ว ก็ยังมีหลุดออกมาอีกมาก
ยกมาให้ดูก็ได้ ที่ท่านพุทธทาสไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้า

“ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง. ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจ หรือ ติดแน่น ในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย" 2

ขอถามว่า คุณสหธรรมยอมรับการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ได้ลงคอหรือ

ตอบ ....

ผมหรือไม่ว่าใครก็ตามที่อ้างตนว่าเป็นพุทธบริษัท ย่อมมิอาจยอมรับการกล่าวตู่พุทธพจน์ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าผู้ที่พูดนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพียงแต่ในกรณีนี้ ผมกลับไม่เห็นว่าท่านพุทธทาสจะกล่าวตู่พุทธพจน์ ตามที่นายระนาดเอกกล่าวหาใส่ร้าย เลยนี่ครับ !!!!

พิจารณาคำของท่านพุทธทาสที่ถูกเน้น ดังนี้ ....

“จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ ฯ”

เอออวย = เห็นตามไปด้วย , เห็นดีด้วย (พจนานุกรมฉบับราชบัญฑิตฯ)

ประเด็นที่มักนำมาพูดถึงกันมากก็คือ การใช้คำว่า “เอออวย” นั้นถูกต้องหรือไม่ (?) ดังนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาพุทธพจน์จาก ทีฆนขสูตร ที่ตรัสกับ ทีฆนขปริพาชก ความว่า ....

“อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฎฐิ ฯ” กรณีอย่างนี้ = เอออวย ใช่ .... หรือมิใช่ (?)

หรือดังข้อความจาก อรหันตสูตร

“กิเลสเป็นเครื่องผูกทั้งหลาย มิได้มีแก่ภิกษุที่ละมานะเสียแล้ว มานะและคันถะทั้งปวง อันภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้วภิกษุเป็นผู้มีปัญญาดี ล่วงเสียแล้วซึ่งความสำคัญ ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคล
ทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง ภิกษุนั้นฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึงกล่าวตามสมมติที่พูดกัน ฯ” กรณีอย่างนี้ = เอออวย ใช่ .... หรือมิใช่ (?)

สิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อไปก็คือ นรกใต้ดิน และ สวรรค์บนฟ้า ตามที่ชาวชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล เชื่อถือกันนั้น ตรงกับ นรกสวรรค์ตามที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ชอบนั้นแล้ว หรือไม่ (?)
กรุณาสังเกตจาก ....
(๑) กรณี ท้าวตรีศังกุสุริยวงศ์ ผู้ครองอโยธยา มีความปรารถนาจะขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น โดยมีพระวิศวามิตรเป็นผู้ทำพิธีให้ ซึ่งในกาลครั้งนั้น ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่เทวดาทั้งหลายบนสวรรค์(รายละเอียดเชิญศึกษาเอาเองจาก รามยณะ) ความข้อนี้ย่อมชัดเจนอยู่ว่า คนในยุคสมัยนั้น เขาเชื่อและเข้าใจว่า สวรรค์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งอยู่บนฟ้า ซึ่งแม้แต่คนเป็นๆก็อาจสามารถขึ้นไปอยู่ได้หากต้องการ

คำถามก็คือ สวรรค์ตามพุทธปัญญาซึ่งตรัสรู้โดยชอบนั้น มีลักษณะตามที่คนสมัยนั้นเขาเชื่อถือกันอยู่ หรือไม่ (?)

(๒) กรณี พี่น้องปาณฑพทั้ง ๕ และนางเทราปตี นำโดย ยุธิษฐิระ เสด็จสู่สรวงสวรรค์ ซึ่งเขาเชื่อกันอย่างนี้ว่า เมรุบรรพต หรือ สุเมรุบรรพต หรือ เทวบรรพต ซึ่งเป็นขุนเขาลูกหนึ่งในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นนิวาสถานของพระอินทร์ (รายละเอียดเชิญศึกษาเอาเองจาก มหาภารตยุทธ)

คำถามก็คือ สวรรค์ตามพุทธปัญญาซึ่งตรัสรู้โดยชอบนั้น มีลักษณะตามที่คนสมัยนั้นเขาเชื่อถือกันอยู่ หรือไม่ (?)

และย่อมเป็นภาระของนายระนาดเอกนั่นเอง ที่อย่างน้อย ก็จะต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเห็นจังว่า นรกใต้ดิน และ สวรรค์บนฟ้า ตามที่ชาวชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล เชื่อถือกัน เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง โดยมิได้เป็นปฏิปักษ์ต่อพุทธปัญญาอันประกอบด้วยสัมมาทิฐิ จนพระพุทธองค์จะต้องตรัสเอออวยเสียก่อนในขั้นต้น ตามคำของท่านพุทธทาส
เพราะมิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่า นายระนาดเอกนี่เอง ที่กล่าวตู่พุทธพจน์ อีกทั้งยังกล่าวร้ายต่อท่านพุทธทาสผู้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ อย่างปราศจาก หิริโอตตัปปะ !!!!

แต่จากการพินิจพิเคราะห์แล้ว ผมกลับเห็นว่า ความเชื่อเกี่ยวกับนรกสวรรค์ของชาวชมพูทวีปในสมัยนั้น มิได้ถูกต้องตรงตามพุทธปัญญาอันประกอบด้วยสัมมาทิฐิ เป็นเพียงบัญญัติชื่ออย่างเดียวกัน แต่ความหมายที่แท้จริง แตกต่างกัน .... ดังนั้น

พระพุทธองค์จึงจำเป็นต้อง “ตรัสเอออวย” กล่าวคือ …. “ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น (แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฎฐิ)”

สมดังที่ตรัสเอาไว้ใน ปุปผสูตร ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่ขัดแย้งกับโลก แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา”
อีกทั้งยังตรัสอีกว่า “บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น” ซึ่งก็ย่อมตรงกันกับถ้อยคำที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า “จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้”
และจากนั้นพระพุทธองค์จึง “ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจ หรือ ติดแน่น ในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย” ตามคำของท่านพุทธทาส นั่นเอง ก็ในเมื่อปรากฏหลักฐานเป็นพุทธพจน์สอดคล้องต้องกัน สามารถเทียบกันได้ ลงกันได้ ทั้งอรรถและพยัญชนะอย่างนี้แล้ว ยังจะมากล่าวหาว่า ท่านพุทธทาสกล่าวตู่พุทธพจน์ ได้อย่างไร (?)



ประเด็นที่ ๔

เอ๊ะ! เสือกินคนก็ไม่บาปน่ะซี

พระพุทธเจ้าแสดงหลักการในการล่วงกรรมบถไว้ว่า ศีลปาณาฯ มีองค์ศีล ๕ ประการ
ไม่มีประการใดเลยที่ยกเว้นว่า สัตว์เดรัจฉานเบียดเบียนชีวิตสัตว์เดรัจฉานด้วยกัน ไม่บาป
สัตว์เดรัจฉานทำบาปแล้วไม่บาป เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ใช่มนุษย์ ?
หรือก็คือ ศีล กรรมบถ มีไว้สำหรับมนุษย์
ถ้าไม่ใช่มนุษย์ ทำบาปแล้วไม่บาป??

ถ้าเช่นนั้น ยักษ์ตนหนึ่งมาพบพระสารีบุตรเข้านิโรธสมาบัติ
ยักษ์เอากระบองตีศีรษะพระสารีบุตร ทำไมจึงบาปจนธรณีสูบลงนรกอเวจีทันที !


ตอบ ....

ถ้านายระนาดเอกอยากจะอ้างว่า ปาณาติบาต มีองค์ ๕ เป็นพุทธพจน์ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะครับ หากแต่ควรจะกล่าวให้ชัดเจนด้วยว่า นั่นเป็นข้อความจาก “คัมภีร์อรรถกถา” แต่กระนั้นผมก็ยังไม่พบว่า มีถ้อยคำใดๆใน วรรณนาจุลศีล(อรรถกถา) จะสามารถทำให้เข้าใจไปได้ว่า ศีลเป็นสิ่งที่บัญญัติไว้สำหรับสัตว์เดรัจฉาน เช่น ….
การอธิบายว่า ปาณาติบาตนั้นมีประโยค ๖ คือ ๑. สาหัตถิกประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยมือตนเอง ๒. อาณัตติกประโยค ประโยคที่สั่งให้คนอื่นฆ่า ๓. นิสสัคคิยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยอาวุธที่ซัดไป ฯลฯ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ศีลเหล่านี้ใช้กับคนมิใช่สัตว์เดรัจฉาน .... หรือมิใช่ (?)

ที่นี้เมื่อพิจารณาข้อความจากพระสูตร ก็ปรากฏหลักฐานแสดงถึงความหมายของ อกุศลกรรมบท และ กุศลกรรมบท จากคำโต้ตอบกันระหว่าง เจ้าปายาสิ กับ ท่านพระกุมารกัสสปะ (อ้างจาก ปายาสิราชัญญสูตร) ความว่า ....

กถาว่าด้วยโทษของอกุศลกรรมบท
“ดูกรท่านกัสสป มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด ฯ”

กถาว่าด้วยอานิสงส์ของกุศลกรรมบท
“ดูกรท่านกัสสป มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ ฯ”

โดยเมื่อเปรียบเทียบกับข้อความจาก ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ความว่า ....

“จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุญญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ทานมัยปุญญกิริยาวัตถุ ๑ ศีลมัยปุญญกิริยาวัตถุ ๑ ภาวนามัยปุญญกิริยาวัตถุ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุญญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้แล ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษาบุญนั่นแล อันให้ผลเลิศต่อไป ซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ ความประพฤติเสมอ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ประการอันเป็นเหตุให้เกิดความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน ฯ เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ”

ซึ่งอรรถกถาจารย์ได้อธิบายความหมายของคำว่า ศีลมัย ดังนี้ว่า ....
บทว่า สีลมยํ ได้แก่ เจตนาที่เป็นไปแล้วแก่บุคคลผู้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีล ๑๐ ด้วยสามารถแห่งการกำหนดให้เป็นนิจศีล และอุโบสถศีลเป็นต้น ฯ

กล่าวโดยสรุปก็คือ ข้อความทั้งในพระสูตรและอรรถกถาล้วนกล่าวสอดคล้องกันว่า กรรมบท บุญกิริยาวัตถุ และ ศีล เป็นสิ่งที่ใช้กับ “คน” เท่านั้น ไม่ปรากฏเลยว่าเป็นหลักการที่บังคับใช้กับสัตว์เดรัจฉานด้วย
ดังนั้น จึงเป็นภาระของนายระนาดเอกนั้นเอง ที่จะต้องแสดงหลักฐานจากพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา ที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า .... “สัตว์เดรัจฉานเบียดเบียนชีวิตสัตว์เดรัจฉานด้วยกัน เป็นบาปผิดศีล”
ซึ่งถ้าหามาแสดงไม่ได้ ก็ย่อมเท่ากับว่า ถ้อยคำที่นายระนาดเอก แสดงออกมาทั้งหมด เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์ .... เข้าใจประเด็นอย่างชัดเจนแล้วนะครับ (?)

ประเด็น ที่นายระนาดเอกอ้างถึง กรณี “ยักษ์ตนหนึ่งมาพบพระสารีบุตรเข้านิโรธสมาบัติ (จึงได้) เอากระบองตีศีรษะพระสารีบุตร ทำไมจึงบาปจนธรณีสูบลงนรกอเวจีทันที” นั้น อรรถกถาก็ได้อธิบายไว้ชัดแล้วนี่ครับว่า “ได้ยินว่า ยักษ์นั้นผูกอาฆาตพระเถระมาแต่ชาติก่อน เพราะเหตุนั้น พอเห็นพระเถระ เขาจึงมีจิตคิดประทุษร้ายอย่างนั้น” (อรรถกถาชุณหสูตร)

ทีนี้เมื่อถามว่า แล้วยักษ์มีความแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ตรงไหน (?)

ในประเด็นที่ว่า ยักษ์หมายถึงสิ่งมีชีวิตชนิดไหนนั้นขอยกไว้(เพราะนอกประเด็น) หากแต่จำเพาะเรื่องที่เกี่ยวกับศีลนั้น ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกหลายแห่งว่า ยักษ์ รู้และเข้าใจในศีล หรือ กรรมบท เป็นอย่างดี เช่น ….

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญโดยมากยักษ์มิได้เลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเลย ข้อนั้นเหตุไร เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพื่องดเว้นจากปาณาติบาต ทรงแสดงธรรมเพื่องดเว้นจากอทินนาทาน ทรงแสดงธรรมเพื่องดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ทรงแสดงธรรมเพื่องดเว้นจากมุสาวาท ทรงแสดงธรรมเพื่องดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท แต่โดยมากพวกยักษ์มิได้งดเว้นจากปาณาติบาต มิได้งดเว้นจากอทินนาทาน มิได้งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร มิได้งดเว้นจากมุสาวาทมิได้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ข้อที่พระองค์ให้งดเว้นนั้น จึงไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของยักษ์เหล่านั้น ฯ” (อ้างจาก อาฏานาฏิยสูตร)

หรือดังคำโต้ตอบระหว่าง เหมวตยักษ์ กับสาตาคิรยักษ์ จาก เหมวตสูตร ความว่า ….

“เหมวตยักษ์ถามว่า
พระโคดมไม่ทรงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้แลหรือทรงสำรวม
แล้วในสัตว์ทั้งหลายแลหรือ ทรงห่างไกลจากความประมาทแลหรือ
ย่อมไม่ทรงละทิ้งฌานแลหรือ ฯ
สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
พระองค์ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทรงสำรวมแล้วในสัตว์
ทั้งหลาย และทรงห่างไกลจากความประมาทพระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้ว
ย่อมไม่ทรงละทิ้งฌาน ฯ
เหมวตยักษ์ถามว่า
พระโคดมไม่ตรัสคำเท็จแลหรือ มีพระวาจาไม่หยาบคายแลหรือ ไม่ตรัส
คำส่อเสียดแลหรือ ไม่ตรัสคำเพ้อเจ้อแลหรือ ฯ
สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
พระองค์ไม่ตรัสคำเท็จ มีพระวาจาไม่หยาบคาย และไม่ตรัสคำส่อเสียด
ตรัสคำที่เป็นประโยชน์อย่างเดียว เพราะทรงกำหนดด้วยพระปัญญา ฯ”

เมื่อปรากฏความดังนี้ จึงไม่แปลกแต่อย่างใดเลย ถ้าหากยักษ์ซึ่งรู้และเข้าใจในศีลและกรรมบทเป็นอย่างดี เมื่อมีเจตนาประทุษร้ายท่านพระสารีบุตร จึงย่อมต้องได้รับวิบากจากการกระทำของตนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกรณี พระพาหิยทารุจิริยเถระ ถูกแม่โคขวิด(จน)ตาย ย่อมมิได้เกิดจากเจตนาของแม่โคตัวนั้น หากแต่เป็นวิบากของท่านพระพาหิยทารุจิริยเถระเอง และเนื่องจากแม่โคไม่อาจรู้และไม่เข้าใจในศีลและกรรมบทได้เลย แม่โคตัวนั้นจึงย่อมมิต้องรับวิบากผลใดๆจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างยักษ์กับสัตว์เดรัจฉาน นั่นเอง !!!!
ดังนั้น ถ้านายระนาดเอกไม่ยอมรับความข้อนี้ ก็ย่อมต้องแสดงให้เห็นจริงว่า ในพระไตรปิฎกได้ปรากฏหลักฐานว่ามีสัตว์ตัวใดทำบาป(!)แล้วตกนรกบ้างหรือไม่ (?) ซึ่งถ้าหาหลักฐานมาแสดงให้เห็นจริงไม่ได้ นั่นก็เท่ากับว่า นายระนาดเอกกำลังกล่าวตู่พระพุทธองค์อยู่นั่นเอง .... ชัดเจนนะครับ (?)


ฤทธี


http://www.oknation.net/blog/SiamBhikhunis

http://rittijanson.blogspot.com/