วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นรก .... อันชื่อว่าเนื่องด้วยอายตนะ !!!!

ดูเหมือนว่า ผู้คนสมัยนี้ จะนิยมชมชอบทัวร์นรกกันเป็นพิเศษนะครับ ดังนั้น ผมจึงเห็นสมควรว่า คงจะต้องสำแดงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ นรก-สวรรค์ ตามพุทธปัญญา ดังที่ปรากฏอยู่ในพระบาลีให้เป็นที่ประจักษ์แก่เพื่อนชาวพุทธ เผื่อว่า ท่านเหล่านั้นที่ยังใหม่อยู่ จะยังไม่ “เผลอใจ” เดินตามพวก กเฬวราก ไปเสียก่อน ....

อ้างความจากกระทู้ PANTIP_COM Y10558961 ว่าด้วย ท่านพุทธทาส พระไตรปิฏก พระอภิธรรม


ความคิดเห็นที่ 41

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

ปริฬาหสูตร
ว่าด้วยความเร่าร้อน
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=10601&Z=10631&pagebreak=0


ขณสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=18&A=3253

อรรถกถาขณสูตรที่ ๒
ในขณสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ฉ ผสฺสายตนิกา นาม ความว่า นรกชื่อว่าผัสสายตนะ ๖ ไม่มี. นรกทั้งหลายที่ชื่อฉผัสสายตนิกาแต่ละชื่อไม่มี. จริงอยู่ บัญญัติว่าผัสสายตนะทางทวาร ๖ ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง.
แต่คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาอเวจีมหานรก.
แม้ในบทว่า สคฺคา (สวรรค์) นี้ ท่านประสงค์เอาเฉพาะบุรีดาวดึงส์เท่านั้น. แต่ชื่อว่าบัญญัติแห่งอายตนะหก แม้แต่ละอย่างในกามาวจรเทวโลกไม่มีก็หาไม่.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงฉผัสสายตนิกานี้ไว้ทำไม.
ตอบว่า ใครๆ ไม่อาจจะอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในนรกได้ เพราะได้รับแต่ทุกข์โดยส่วนเดียว และไม่อาจอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในเทวโลกได้ เพราะเกิดความประมาทด้วยสามารถความยินดีในการเล่นโดยส่วนเดียว เพราะได้รับความสุขโดยส่วนเดียว.
ส่วนมนุษยโลกมีความสุขและความทุกข์ระคนกัน ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น ย่อมมีทั้งอบายและสวรรค์ปรากฏ. นี้ชื่อว่าเป็นกรรมภูมิของมรรคพรหมจรรย์.
กรรมภูมินั้น พวกท่านได้แล้ว เพราะฉะนั้น ขันธ์ซึ่งเป็นของมนุษย์ที่พวกเธอได้กันแล้ว จัดเป็นลาภของพวกท่าน และภาวะเป็นมนุษย์ที่พวกเธอได้แล้วนี้ ก็เป็นขณะเป็นสมัยของการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ที่พวกเธอได้.
สมจริงดังคำที่พระโปราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า.
การเจริญมรรคในที่นี้ นี้ก็เป็นกรรมภูมิ ธรรมเป็นที่ตั้ง
แห่งความสังเวชเป็นอันมาก ในที่นี้ก็เป็นฐานะอยู่
ท่านเกิดความสังเวชแล้ว ก็จงประกอบความเพียรโดย
แยบคายในวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลดสังเวชเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํเวคา แปลว่า ความสังเวช.

จบอรรถกถาขณสูตรที่ ๒
------------------------------------------------------

มีหลาย ๆ ท่านพยายามอธิบาย ปริฬาหสูตร และ ขณสูตร ให้เป็นไปในลักษณะ เทวดา สวรรค์ สัตว์นรก คือภาวะจิตใจของมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับหลักกรรม การเวียนว่ายตายเกิด อ้างทิฏฐิของตนเองว่าเป็นภาษาธรรม

เช่น เทวดา คือมนุษย์ที่กำลังเพลิดเพลินในกามคุณ
สัตว์นรก คือมนุษย์ที่กำลังเร่าร้อนใจ
เปรต คือ คือมนุษย์ที่กำลังโลภ หิวโหย เป็นต้น

หรือ เลี่ยงพระบาลีว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ เป็นต้น

ก่อนที่จะเชื่อทิฏฐิในลักษณะดังกล่าว ฝากศึกษา พระสูตรอื่น ๆ และอรรถกถา ด้วยนะครับ

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1
เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 10:27:35


ความคิดเห็นที่ 42

บทว่า ฉ ผสฺสายตนิกา นาม ความว่า นรกชื่อว่าผัสสายตนะ ๖ ไม่มี. นรกทั้งหลายที่ชื่อฉผัสสายตนิกาแต่ละชื่อไม่มี. จริงอยู่ บัญญัติว่าผัสสายตนะทางทวาร ๖ ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง.
แต่คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาอเวจีมหานรก.

สาธุครับ

"ฉ ผสฺสายตนิกา "

ลุงโชติ ชอบ เอาคำนี้ไปใช้บ่อยๆ ว่าหมายถึง นรกอุปมาอุปมัย
แต่แท้จริง บาลีคำนี้มุ่งหมายถึง อเวจีมหานรกนั้นเอง

เมื่อเห็นความกลัวภัย ในอเวจี และระลึกได้ว่า
ตนโชคดีแล้วที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ จึงได้เกิดวิริยะ
ในการมุ่งมั่น ปฏิบัติ เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในลำดับต่อไปได้

จากคุณ : ชาวมหาวิหาร
เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 14:15:49



นายเฉลิมศักดิ์ และ นายชาวมหาวิหาร ๒ คนนี้ เขาพยายามที่จะแสดงตนว่า เป็นผู้มีอุดมการในการปกป้องพระธรรมวินัยอย่างยวดยิ่ง หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทั้ง ๒ คน ได้ทำลงไปนั้น จะเป็นไปเพื่อการปกป้องพระศาสนา หรือเพื่อปกป้อง “ทิฐิ” ของตน (กันแน่ ?)
อีกทั้ง พวกเขาจะเป็นผู้มีความรู้ความสามารถมากพอ ที่จะกระทำการต่างๆ ตามที่ได้สร้างภาพเอาไว้ได้หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้องค่อยๆพิจารณาไปตามลำดับ ดังต่อไปนี้ ....

จากข้อความในกระทู้ข้างต้น สามารถสรุปความได้ว่า นายเฉลิมศักดิ์ มีความเข้าใจว่า ท่านพุทธทาสอธิบายความเรื่อง ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ ผิดไปจากพระบาลี โดยมี นายชาวมหาวิหาร เข้ามาผสมโรง โดยยกข้อความบางส่วนจาก อรรถกถา มาอ้างพร้อมกับกล่าวสำทับว่า ....

ลุงโชติ ชอบ เอาคำนี้ไปใช้บ่อยๆ ว่าหมายถึง นรกอุปมาอุปมัย
แต่แท้จริง บาลีคำนี้มุ่งหมายถึง อเวจีมหานรกนั้นเอง

ลองมาทัวร์นรกกันดูสักครั้งนะครับ แล้วท่านทั้งหลายก็จะได้รู้กันสักทีว่า อเวจีมหานรก นั้นเป็นอย่างไร (?)

ก่อนที่จะมาพิจารณาข้อความจากอรรถกถา ย่อมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้อง “เห็น” กับตาเสียก่อนว่า พุทธพจน์ที่ตรัสเกี่ยวเรื่องนี้นั้น มีเนื้อหาว่าอย่างไร โดยความจาก ขณสูตร มีดังนี้ว่า ....

[๒๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะ
เพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่า
ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราเห็นแล้ว ในผัสสายตนิกนรกนั้น สัตว์จะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อม
เห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปไม่น่าใคร่ ย่อมไม่
เห็นรูปอันน่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าพอใจ จะฟังเสียงอะไรๆ
ด้วยหู...จะดมกลิ่นอะไรๆ ด้วยจมูก... จะลิ้มรสอะไรๆ ด้วยลิ้น... จะถูกต้องโผฏฐัพพะอะไรๆ
ด้วยกาย... จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อม
ไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์
อันน่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าพอใจ

[๒๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะ
เพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อ
ว่า ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราได้เห็นแล้ว ในผัสสายตนิกสวรรค์นั้น บุคคลจะเห็นรูปอะไรๆ ด้วย
จักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าปรารถนาย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าใคร่
ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าพอใจ ฯลฯ
จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้ง
ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์ที่ไม่น่า
ใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ฯ

จากพุทธพจน์ตามที่ปรากฏอยู่ใน ขณสูตร ก็เป็นที่ชัดเจน กล่าวคือพระพุทธองค์ตรัสว่า ....

(๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราเห็นแล้ว

(๒) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราได้เห็นแล้ว

สรุปสั้นๆก็คือ พระพุทธองค์ตรัสว่า ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ มีอยู่ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ก็ได้เคยทรงเห็นมาแล้ว .... ข้อความจากพระบาลี ชัดเจนนะครับ (?)

เมื่อเห็นข้อความจากพระบาลีกันแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวที่เราจะต้องมาพิจารณา “มติอรรถกถา” ตามที่ นายเฉลิมศักดิ์ และ นายชาวมหาวิหาร พยายามนำมาเสนอ ความว่า ....

(๑) บทว่า ฉผสฺสายตนิกา นาม ความว่า นรก ชื่อว่า ผัสสายตนะ ๖ ไม่มี นรกทั้งหลายที่ชื่อ ฉผัสสายตนิกาแต่ละชื่อไม่มี.
(๒) จริงอยู่ บัญญัติว่า ผัสสายตนะทางทวาร ๖ ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง แต่คำนี้ ท่านกล่าว หมายเอาอเวจีมหานรก.
(๓) แม้ในบทว่า สคฺคา (สวรรค์) นี้ ท่านประสงค์เอาเฉพาะ บุรีดาวดึงส์เท่านั้น. แต่ชื่อว่าบัญญัติแห่งอายตนะหก แม้แต่ละอย่าง ในกามาวจรเทวโลกไม่มีก็หาไม่.

การที่ นายเฉลิมศักดิ์ และ นายชาวมหาวิหาร ยกอรรถกถานี้ขึ้นมาแย้งท่านพุทธทาส ก็ต้องถือว่าเป็นความ “โง่เขลาเบาปัญญา” ของคนทั้ง ๒ นี้โดยแท้ ทีหลังเวลาจะยกอะไรขึ้นมาอ้าง ก็กรุณา “พิจารณา” ให้ดีๆ ก่อนนะครับ อย่าสักแต่ว่า “ตัดแปะ” ไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างโง่ๆ แบบนี้อีก !!!!

ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาอย่างนี้ว่า ถ้า อรรถกถา มีความมุ่งหมายที่จะกล่าวว่า ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ ไม่มีอยู่ นั่นก็จะเท่ากับว่า อรรถกถา ค้าน พุทธพจน์ ทันที เพราะในพระสูตรนั้น พระพุทธองค์ก็ตรัสชัดเจนว่า ....

(๓) ดูกรภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราเห็นแล้ว

(๔) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราได้เห็นแล้ว

เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “เราเห็นแล้ว” อย่างนี้ จะมาบอกว่า ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ ได้อย่างไร (?) แค่นั้นยังไม่พอ เพราะได้ปรากฏข้อความยืนยันความข้อนี้จากท่านพระมหาโมคคัลลานะ ปรากฏอยู่ใน มารตัชชนียสูตร ดังนี้ว่า ....

“ดูกรมารผู้ลามก ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ ๓ อย่าง ชื่อฉผัสสายตนิกะก็มี ชื่อสังกุสมาหตะก็มี ชื่อปัจจัตตเวทนียะก็มี ฯ” (อ้างจาก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๕๖๕ )

ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เมื่อพบว่ามีข้อความที่ขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ สิ่งแรกที่เราจะต้องคำนึงถึงมากที่สุดก็คือ “หลักการ” ในการตรวจสอบพระธรรมวินัย ความว่า หากมีผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามกล่าวอ้างว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา” โดยพระพุทธองค์ได้ตรัสเอาใว้เป็นหลักการ คือ ....

“พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวน ในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย”
๑) ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำของพระพุทธองค์แน่นอน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึง ทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
๒) ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำ สั่งสอนของพระพุทธองค์แน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว

ซึ่งในกรณีของ ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ นั้นย่อมชัดเจนอยู่แล้วว่า มีทั้งพุทธพจน์จาก ขณสูตร เอง และยังมีคำของท่านพระมหาโมคคัลลานะจาก มารตัชชนียสูตร ยืนยันตรงกันเช่นนี้ ก็ย่อมสามารถสรุปได้ว่า ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และนี่ก็คือ วิธีในการตรวจสอบพระธรรมวินัย ด้วยหลักมหาปเทส ๔ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเอาไว้นั่นเอง โดยที่ต้องเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อนเลยว่า แม้จะเป็นข้อความจาก คัมภีร์อรรถกถา ก็ต้องได้รับการตรวจสอบด้วยหลักการอันนี้เช่นเดียวกันหมด โดยไม่มีการยกเว้นแต่อย่างใด ....
หากแต่ นายเฉลิมศักดิ์ และ นายชาวมหาวิหาร จะสามารถเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ได้หรือไม่ ก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่ ด้วยผมเห็นว่า นายชาวมหาวิหาร ยังไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยซ้ำไปว่า อันไหนเรียกว่าพุทธพจน์ และอันไหนเรียกว่าอรรถกถา เพราะที่ผ่านๆมา แม้ว่าผมจะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ให้เอาพุทธพจน์มายืนยันคัดค้านข้อความของผม แต่นายคนนี้ ก็ยังยกอรรถกถามาอ้างซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นเอง ผมก็เลยไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นคนหน้าด้าน หรือว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา กันแน่ (?)

ดังนั้น สิ่งที่ผมต้องการถาม นายเฉลิมศักดิ์ และ นายชาวมหาวิหาร ก็คือ ก่อนที่คนคู่นี้จะยกข้อความใดๆก็ตามมาอ้าง หรือจะสรุปความใดๆก็ตามอันเนื่องกับพระธรรมวินัยนั้น พวกคุณได้เคยปฏิบัติตามหลักการมหาปเทส ๔ นี้บ้างหรือไม่ (?)

แม้ว่าเราจะได้ข้อสรุปว่า ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ คัมภีร์อรรถกถา ด้วยเช่นกัน โดยถ้าเราจะไม่พิจารณาความใดๆด้วยอคติแล้วล่ะก็ มติอรรถกถาในความข้อที่ (๒) ก็ย่อมสามารถบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่า อรรถกถาจารย์ ท่านมีจุดมุ่งหมายในการอธิบายว่าอย่างไร โดยที่แม้ท่านจะกล่าวในเบื้องแรกว่า นรกที่ชื่อ ฉผัสสายตนิกนรก ไม่มี แต่ท่านก็ได้กล่าวข้อความต่อมาอีกว่า (แท้ที่จริงแล้ว) ฉผัสสายตนิกนรก “ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง”

ถ้ายังอ่านหรือฟังไม่เข้าใจ ก็ขออธิบายซ้ำอีกครั้งดังนี้ว่า ในความเป็นจริงก็คือ ฉผัสสายตนิกนรก ก็มีอยู่แล้วในมหานรก ๓๑ ขุม นั่นแหละ อรรถกถาจารย์ท่านเพียงแต่พยายามจะบอกว่า ฉผัสสายตนิกนรก มิใช่สิ่งที่มีอยู่ต่างหากจาก นรก ตามทิฐิของปัจเจกบุคคล ซึ่งการอธิบายของอรรถกถาจารย์นี้ ถือว่ามีความสำคัญมากนะครับ เพราะความหมายที่แฝงอยู่ในคำอธิบายก็คือ ไม่ว่า นรก-สวรรค์ ของคนแต่ละคนจะถูกต้องตรงตามพุทธปัญญาหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็ย่อมเป็น นรก-สวรรค์ อันชื่อว่าเนื่องด้วย ผัสสายตนะ อยู่นั่นเอง กล่าวคือ

(๑) ถ้าท่านเป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาทิฐิ นรก-สวรรค์ ของท่านก็จะเป็น นรก-สวรรค์ อันชื่อว่าเนื่องด้วย ผัสสายตนะ อันเป็นสัมมาทิฐิ
(๒) แต่ถ้าท่านเป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ(ไม่ว่าจะเป็น สัสสตทิฐิ หรือ อุจเฉททิฐิ ก็ตาม) นรก-สวรรค์ ของท่านก็จะเป็น นรก-สวรรค์ อันชื่อว่าเนื่องด้วย ผัสสายตนะ ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิในแบบนั้นๆ นั่นเอง

ทีนี้ บางท่านอาจจะสงสัยอีกว่า ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ จะมีอยู่ใน นรก-สวรรค์ หรือ นรก-สวรรค์ จะมีอยู่ใน (หรือเนื่องกับ) ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ ได้อย่างไร (?)
ก็ขออนุญาตอธิบายความ ดังนี้ว่า .... ที่จริงแล้ว สิ่งทั้งปวง หรือ สังขตธรรมนั้น ก็คือสิ่งที่เรียกว่า อายตนะนั่นเอง ดังปรากฏความใน สัพพสูตร ดังนี้ว่า ....

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสิ่งทั้งปวงแก่เธอทั้งหลาย เธอ ทั้งหลายจงฟังข้อนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นสิ่งทั้งปวง จักษุกับรูป หู กับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับธรรมารมณ์ อันนี้เรากล่าวว่าสิ่งทั้งปวง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราบอกปฏิเสธ สิ่งทั้งปวง จักบัญญัติสิ่งอื่นแทน วาจาของผู้นั้นคงเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดุจเทพเจ้าแต่ครั้นถูกถามเข้า ก็คงไม่ปริปากได้ และยิ่งจะอึดอัดลำบากใจ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะข้อนั้นไม่ใช่วิสัย ฯ” (ในพระสูตรนี้ สิ่งทั้งปวง = อายตนะ ๑๒)

สิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้อง(พยายาม)ทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยก็คือ ไม่ว่าท่านจะมี “ทิฐิ” เป็นอย่างใด (คืออาจจะเป็น สัมมาทิฐิ หรือ สัสสตทิฐิ หรือ อุจเฉททิฐิ หรือ ฯลฯ) และ นรก-สวรรค์ ตามความเข้าใจของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่โดยความเป็นจริงตามหลักพระพุทธศาสนาก็คือ นรก-สวรรค์ ย่อมมิอาจมีอยู่ต่างหากจาก ผัสสายตนะทั้ง ๖ ซึ่งมีความสืบต่อแห่งเหตุปัจจัย อันนำมาสู่การเสวย “เวทนา” ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยของ ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ อันเป็นผลที่สุกงอมแห่งกรรม (คือวิบาก)
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมี นรก-สวรรค์ อยู่ต่างหากโดยปราศจากความเชื่อมโยงกับ ผัสสายตนะทั้ง ๖ หรือกล่าวอีกแบบก็คือ เมื่อไม่มี ผัสสายตนะ ก็ย่อมไม่มี นรก-สวรรค์ ในทุกๆปริยายเช่นกัน กล่าวคือ

“ .... เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้ ฯ”

การที่ นายเฉลิมศักดิ์ และ นายชาวมหาวิหาร อ่านข้อความจากอรรถกถาแล้วเข้าใจไปว่า ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ก็ย่อมแสดงให้เห็น “กำพืด” ที่แท้จริงว่า ....

(๑) คนทั้ง ๒ เป็นพวกมิจฉาทิฐิบุคคล กล่าวคือ พวกเขาเข้าใจเอาเองว่า นรก-สวรรค์ มีอยู่ต่างหากโดยมิได้เกี่ยวเนื่องกับ ผัสสายตนะทั้ง ๖ ซึ่งนั่นเป็นความเห็นผิด(มิจฉาทิฐิ) เป็นทิฐินอกพระพุทธศาสนา
(๒) คนทั้ง ๒ ไม่เข้าใจในหลักการตรวจสอบพระธรรมวินัย ตามหลักมหาปเทส ๔ ดังจะเห็นได้ว่า เขาทั้ง ๒ สามารถเชื่อข้อความจากอรรถกถา(ด้วยความเข้าใจผิด) โดยมิได้ใส่ใจในพุทธพจน์เลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ใจความของอรรถกถา(ซึ่งพวกเขาเข้าใจผิด) ถูก “จริต” ของพวกเขานั่นเอง หรือมิใช่ (?)
(๓) คนทั้ง ๒ ตั้งหน้าตั้งตากล่าวร้ายต่อพระเถระผู้ใหญ่ (คือท่านพุทธทาส) ทั้งๆที่เขาเหล่านั้น มีความรู้ความเข้าใจอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ทั้งๆที่พยายามสร้างภาพเทียมเท็จว่า กำลังปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ในความเป็นจริง พวกเขาก็เพียงแค่ กำลังปกป้อง(มิจฉา)ทิฐิของตนเอง .... ก็เท่านั้น !!!!

สรุปในสรุป

การที่ท่านพุทธทาสสอน ฉผัสสายตนิกนรก และ ฉผัสสายตนิกสวรรค์ เฉพาะในปัจจุบันขณะ ก็เนื่องจาก เป็นสภาวะที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้จริงอย่างปราศจากข้อกังขา โดยเว้นที่จะกล่าวถึง นรก-สวรรค์ ที่มิอาจพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ ซึ่งการที่ท่านกระทำเช่นนี้ ก็มิได้เป็นความผิดร้ายอะไร อีกทั้งการที่ท่านไม่สอนเรื่อง นรก-สวรรค์ ในฐานะที่เป็นโลกอื่น ก็มิได้แปลว่าท่านจะเป็นพวกมิจฉาทิฐิเสียเมื่อไร การเชื่อหรือไม่เชื่อ กับการสอนหรือไม่สอน ก็มิอาจกล่าวได้ว่า เป็นเรื่องเดียวกันสักหน่อย
การที่พระพุทธองค์ตรัสสอนแต่ใบไม้ในกำมือ นั้นมิได้แปลว่า ใบไม้นอกกำมือไม่มี หรือพระพุทธองค์ไม่เชื่อว่าใบไม้นอกกำมือมีอยู่เสียเมื่อไร หากแต่นั่นเป็นพระกรุณาคุณของพระพุทธองค์ต่างหากที่จะทรงสอนแต่เฉพาะเรื่องของทุกข์และความดับทุกข์เป็นสำคัญ
ดังนั้น การที่ท่านพุทธทาสจะเน้นสอนแต่เฉพาะเรื่องของทุกข์และความดับทุกข์ในปัจจุบันขณะ โดยเว้นที่จะกล่าวถึงเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้จริงในโลกแห่งนวัตกรรมขั้นสูงนี้ นอกจากจะไม่ผิดต่อแนวทางของพระพุทธองค์แล้ว ผมยังเห็นว่า มันก็ไม่น่าจะไปหนักหัวกบาลของ นายเฉลิมศักดิ์ และ นายชาวมหาวิหาร หรือมิใช่ (?)



Ritti Janson

http://www.oknation.net/blog/SiamBhikhunis

http://rittijanson.blogspot.com/