วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อยากจับผิดพระ เสียจนหน้ามืดตามัว !!!!

อ้างความจากกระทู้ PANTIP_COM Y10539890 ทำไมท่านพุทธทาส จึงกล้า

ความคิดเห็นที่ 226

ถึงคุณประดู่ป่า 13 พ.ค. 54 18:08:03 ความคิดเห็นที่ 224
คำของคุณประดู่ป่าว่า
ดังนั้น เมื่อมาพิจารณาข้อเขียนที่ยกมาจากลายมือของท่านเอง
ผมก็ยิ่งมั่นใจว่า ข้อความนั้นๆ ย่อมมีนัยเป็นอย่างอื่น หาได้หมายความตรงตัวไม่
หากแต่เราไม่สามารถหยั่งทราบเจตนาของท่านได้ว่า ท่านมีความมุ่งหมายอย่างไร
ในการบันทึกข้อความบรรทัดนั้น
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<,

คุณสันนิษฐานว่ามีนัยเป็นอย่างไร ที่ว่าเป็นอย่างอื่น.
แต่ไม่ว่า คุณจะสันนิษฐานไปอย่างไรก็ตาม
ก็เป็นอันคุณประดู่ป่ากล่าวว่า
เขาเขียนอย่างหนึ่ง ความหมายเป็นอย่างหนึ่ง
หรือว่า
คิดจะพูดคำหนึ่ง กลับไปพูดอีกคำหนึ่ง.
ทำให้ผมนึกถึงชาดก 2 เรื่อง ดังนี้ :-
อรรถกถา โสมทัตตชาดก
http://84000.org/tipitaka/attha/seek.php?text=คิดจะพูดคำหนึ่ง_กลับไปพูดอีกคำหนึ่ง&t=b&b=27&bs=6
อรรถกถา นังคลีสชาดก
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=123&p=1

แต่ว่า คุณประดู่ป่าควรพิจารณาภูมิหลังของคนด้วย
เช่นว่า
คนที่เขียนกลอนและมีชื่อเสียงในเรื่องการกลอน
สามารถเขียนบทความมีสัมผัสนอก สัมผัสใน มีข้อบังคับตาม
อักขระวิธีแล้วในเสนอความหมายที่ตนต้องการได้
คนเช่นนี้มีหรือจะพลาดการเขียนคำธรรมดาง่ายๆ
ให้พลาดจากความหมายที่ตนต้องการ.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
คำของคุณประดู่ป่าว่า
ควรกล่าวด้วยว่า
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ท่านพุทธทาสเลิกการเรียนปริยัติในเมืองหลวง
และกลับมาไชยาก็คือ การสลดสังเวชจากการเห็นพระภิกษุร่วมวัดล้อมวงกัน
ต้มถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
คุณประดู่ป่าควรรู้ว่า
การฉันถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล เป็นอาบัติปาจิตตีย์
การบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ แก่อนุปสัมบัน เป็นอาบัติทุกกฏ.
ถามคุณประดู่ป่าว่า อย่างนี้ประเสริฐกว่าผู้อื่นหรือ?
เอาน้ำสกปรกล้างสิ่งสกปรก สะอาดขึ้นหรือ?

สิกขาบทที่ ๗
เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ [ว่าด้วย ฉันอาหารในเวลาวิกาล]
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=02&A=10873&Z=10931
สิกขาบทที่ ๙
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย บอกอาบัติชั่วหยาบ]
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=02&A=8400&Z=8470

จากคุณ : ฐานาฐานะ
เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 20:16:32



ผมเห็นวิธีการแสดงความคิดเห็นของคนๆนี้แล้ว .... รู้สึกสังเวชใจเสียจริงๆ

ดูท่าว่า มันผู้นี้คง “อยาก” จะเอาผิดพระสงฆ์องค์เจ้าเสียจนตัวซี้ตัวสั่น วันๆก็ไม่ต้องคิดอะไรกันมาก เอาแค่หาเหลี่ยมหามุม หาเหตุเอาผิดพระให้ได้สักนิดสักหน่อยก็ยังดี หิริโอตตัปปะ ไม่ต้องมีกันแล้ว ใช่ไหม (?)
คราวนี้ แค่อ้างข้อความของคุณ ประดู่ป่า จาก ความคิดเห็นที่ 224 ความว่า ....

(ควรกล่าวด้วยว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ท่านพุทธทาสเลิกการเรียนปริยัติในเมืองหลวงและกลับมาไชยาก็คือ การสลดสังเวชจากการเห็นพระภิกษุร่วมวัดล้อมวงกันต้มถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล)

ด้วยข้อความเพียงแค่นี้ มันก็คิดจะปรับอาบัติพระเสียแล้ว .... เฮงซวยมนุษย์แท้ๆ !!!!
ภิกษุบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ จริงครับ หากแต่ มันผู้นั้น ได้เคยเหลือบตาดู

อนาปัตติวาร ( กรณีที่ไม่ต้องอาบัติ) บ้างหรือไม่ว่า ....

ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ ๑ ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอกวัตถุ ๑ .... ไม่ต้องอาบัติ !!!!

หรือว่า “อคติ” มันบังหูบังตา และบังสติปัญญาไปจนหมดแล้ว
หัดมีความซื่อสัตย์และซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยบ้างนะครับ (วู้วววววววว)

ท่านทั้งหลายกรุณา พิจารณาพฤติกรรมของ “จิ้งจอกธรรมะ” ตัวนี้ให้ดีๆนะครับ

๑. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๓๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร กำลังเป็นผู้ก่อการ
ทะเลาะกับพระฉัพพัคคีย์ ท่านต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ แล้วได้ขอปริวาสเพื่ออาบัติ
นั้นต่อสงฆ์ๆ ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่ท่าน. ก็แลสมัยนั้น ในพระนครสาวัตถีมีสังฆภัต
ของประชาชนหมู่หนึ่ง ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะในโรงภัต พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าว
กะอุบาสกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนั่น เป็นพระประจำตระกูลที่
พวกท่านสรรเสริญ ได้พยายามปล่อยอสุจิด้วยมือ บริโภคของที่เขาถวายด้วยศรัทธา ท่านต้อง
อาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว ได้ขออยู่ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ๆ ได้ให้ปริวาสเพื่อ
อาบัตินั้น แก่ท่านแล้ว ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะ.
บรรดาภิกษุที่มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุ-
ปสัมบันเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคตรัสถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอบอกอาบัติ
ชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน จริงหรือ?
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงบอก
อาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบันเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อม-
ใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว-.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใด บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ แก่อนุปสัมบัน เว้นไว้
แต่ภิกษุได้รับสมมติ, เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.

สิกขาบทวิภังค์
[๓๔๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุรูปอื่น.
อาบัติที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓.
ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ เว้นภิกษุและภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน.
บทว่า บอก คือ บอกแก่สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต.
บทว่า เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ คือ ยกเว้นแต่ภิกษุที่สงฆ์สมมติ.
ฯลฯ

ทุกกฏ
[๓๔๗] ภิกษุบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุบอกอัชฌาจารที่ชั่วหยาบก็ตาม ไม่ชั่วหยาบก็ตาม แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติชั่วหยาบ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร
[๓๔๘] ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ ๑ ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอกวัตถุ ๑ ภิกษุได้รับ
สมมติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.

กล่าวโดยสรุปก็คือ กรณี มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙ นั้น ….

(๑) ปรับอาบัติ ปาจิตตีย์ ในกรณีที่ ภิกษุ บอกอาบัติชั่วหยาบ (ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓) ของภิกษุ แก่อนุปสัมบัน
(๒) ปรับอาบัติ ทุกกฏ ในกรณีที่ ภิกษุบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ (ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และ ทุพภาสิต) ของภิกษุ แก่อนุปสัมบัน
(๓) แต่กระนั้น ก็มีการยกเว้นโทษ(อนาบัติ) เอาไว้ว่า ในกรณีที่ ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ ๑ ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอกวัตถุ ๑ ฯลฯ ไม่ต้องอาบัติ !!!!
(๔) อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายขยายความเอาไว้ดังนี้ว่า ....

สองบทว่า อาปตฺตึ อาโรเจติ มีความว่า ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุนี้ต้องปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส ต้องถุลลัจจัย ต้องปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติ.
เมื่อภิกษุบอกเชื่อมต่ออาบัติกับวัตถุโดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุนี้ ปล่อยอสุจิ ต้องสังฆาทิเสส ดังนี้เท่านั้น จึงเป็นอาบัติ.

เมื่อพิจารณาข้อความตามที่อ้างถึงข้างต้น ซึ่งมีรายละเอียดอยู่เพียงว่า “การสลดสังเวช จากการเห็นพระภิกษุร่วมวัด ล้อมวงกันต้มถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล” ซึ่งจะเห็นได้ว่า เป็นเพียงการบอกวัตถุ กล่าวคือ (การ)ต้มถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล โดยที่มิได้บอกอาบัติ ดังนั้น จึงย่อมได้รับการยกเว้นในอนาปัตติวารข้อ ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ หมายความว่า หากจะปรับอาบัติท่านพุทธทาสให้ได้ในกรณีนี้ จะทำได้ก็ต่อเมื่อ ท่านพุทธทาสกล่าวอย่างชัดแจ้งว่า .... (เกิดความ) สลดสังเวชจากการเห็นพระภิกษุร่วมวัดล้อมวงกันต้มถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล (ซึ่ง) ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เท่านั้น แต่หากเป็นกรณี ท่านกล่าวว่า ….

(๑) เห็นพระภิกษุร่วมวัด ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ
(๒) เห็นพระภิกษุร่วมวัด ล้อมวงกันต้มถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล ….ทั้ง ๒ กรณีนี้ ไม่ต้องอาบัติใดๆเลยครับ

ดังนั้น ผมขอถาม “จิ้งจอกธรรมะ” ตัวนี้บ้างว่า ….

พฤติกรรมอย่างนี้ของ “จิ้งจอกธรรมะ” ประเสริฐกว่าผู้อื่น นักหรือ (?)

เอาน้ำ(ลาย)สกปรก สาดเข้าใส่พระเถระชั้นผู้ใหญ่แบบนี้ ถูกต้องแล้วหรือ (?)




แต่ที่น่าสมเพชไปกว่านั้นก็คือ แทนที่ “โมฆบุรุษ” ผู้นี้จะเกิดจิตสำนึกที่ดีขึ้นมาบ้าง แต่เปล่าเลย เพราะนอกจากที่จะไม่กล่าวขอขมาต่อพระเถระแล้ว มันผู้นี้ก็ยัง “แถกแถ” ได้อย่างน่าทุเรศ ในทำนองว่า “กูไม่ได้เอ่ยชื่อใครโว้ย” 555555

ความคิดเห็นที่ 302

ถึงคุณชาล้นถ้วย ความคิดเห็นที่ 298
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 15:13:39
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 15:11:00
จากที่อ่านมาทั้งหมด
ถ้อยคำของคุณว่า
มีบางคนคิดจะปรับอาบัติท่านพุทธทาสด้วยข้อความเพียงเท่านี้
...
แต่หากเป็นกรณี ท่านกล่าวว่า
(๑) เห็นพระภิกษุร่วมวัด ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ
(๒) เห็นพระภิกษุร่วมวัด ล้อมวงกันต้มถั่วเขียวฉันในเวลาวิกาล.
ทั้ง ๒ กรณีนี้ ไม่ต้องอาบัติใดๆ
...
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นเพียงการเข้าใจผิด
ไม่ใช่จงใจผิด (เพื่อจะหาเรื่องปรับอาบัติพระที่ตนไม่ชอบใจ) นะ
-----------------------------------------
ตอบว่า
คำว่า 'บางคน' ในที่นี้ ผมเข้าใจว่า คือผม ฐานาฐานะ
ถ้าคุณชาล้นถ้วยมุ่งหมายถึงผม ตามที่เข้าใจ ก็ขอขี้แจงดังนี้ :-
เมื่อคุณชาล้นถ้วยใช้หลักนี้ คือต้องครบถ้วนทั้งเรื่อง และชื่ออาบัติ
ก็ควรใช้หลักนี้ให้ถ้วนทั่วด้วย ผมไม่เอ่ยชื่อบุคคลเลย กล่าวแต่หลักเท่านั้น.
คือ
ผมเอ่ยชื่อภิกษุรูปใดหรือ?
ผมเอ่ยชื่อภิกษุรูปใด และปรับอาบัติหรือไม่?
ผมปรับอาบัติภิกษุรูปไหนหรือ?
รูปที่ฉันถั่วเขียวในเวลาวิกาล หรือ
รูปที่บอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ แก่อนุปสัมบัน?

ถ้าคุณชาล้นถ้วยไม่ได้มุ่งหมายถึงผม :-
ก็ถือเป็นโอกาสแสดงลิงค์ดังนี้ :-
คำว่า พุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต เทวตาภาษิต
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=2&A=7352&w=พุทธภาษิต_สาวกภาษิต_อิสิภาษิต_เทวตาภาษิต
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=2&A=7108&w=พุทธภาษิต_สาวกภาษิต_อิสิภาษิต_เทวตาภาษิต

จากคุณ : ฐานาฐานะ
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 17:01:36


เลิกแอ๊บได้แล้ว .... หางจิ้งจอก มันโผล่ออกมาจนหมดแล้วววววววววว เฮอะ เฮอะ

อ่านข้อความต่อไปอีกสักหน่อยนะครับ ....


ความคิดเห็นที่ 304

มาดูคนที่ผู้คนนับถือว่าทรงพระไตรปิฎก แถเสียสีข้างถลอกปอกเปิก เจอคำตอบแล้วหมดอารมณ์จะตอบใดๆ ในตอนนี้เลย

ปล่อยให้ประจานตัวเองไว้อย่างนั้นแหละ อย่าลบละ
มีอารมณ์เมื่อไหร่จะมาตอบ

จากคุณ : ชาล้นถ้วย
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:27:15


ความคิดเห็นที่ 305

เซฟก่อนโว๊ย เดี๋ยวของดีๆ จะถูกลบหายหมด

เสร็จแล้วไปอาบน้ำ กินนม นอน ดีกว่า


จากคุณ : ชาล้นถ้วย
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:29:17


ความคิดเห็นที่ 306

ถึง คุณชาล้นถ้วย ความคิดเห็นที่ 304
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:27:15
คำว่า
ปล่อยให้ประจานตัวเองไว้อย่างนั้นแหละ อย่าลบละ
ตอบว่า ไม่ลบหรอกครับ
เห็นเครื่องหมายหัวเราะเยาะที่คุณชาล้นถ้วยใช้ในความคิดเห็นที่
304 และ 305 แล้วทำให้นึกถึงการปรบมือทำการหัวเราะเยาะ ในชาดกชื่อว่า
มหาโพธิชาดก.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒
มหาโพธิชาดก
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=28&A=321&Z=451



จากคุณ : ฐานาฐานะ
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 21:13:01


อฐานะ แท้ๆ .... ไร้ยางอายขนาดนี้ ก็อย่าไปตั้งตนสอนคนอื่นๆเขาเลยนะครับ
อยากจะจับผิดพระเสียจนตัวซี้ตัวสั่น พอโดนคนเขาจับได้ .... ก็ร้อนตัวซะ(ไม่มี)

อุบาทว์ว่ะ


http://www.oknation.net/blog/SiamBhikhunis

http://rittijanson.blogspot.com/